“พิชัย”เผย เจรจาภาษีสหรัฐฯ ในส่วนปลีกย่อย ยังอยู่ระหว่างคุยรายละเอียด เร่งเตรียมข้อตกลงภาษีทรัมป์แจงสภาฯ สิ้นสิงหาคมนี้ หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันจีดีพีโตร้อยละ 3-5
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดทำรายละเอียดข้อตกลงภาษีนำเข้าของสหรัฐร้อยละ 19 รวมถึงข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องหลายด้าน คงต้องใช้เวลาจัดเตรียม คาดว่าเสนอสภาได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากได้ชี้แจงนโยบายของรัฐให้กับซีอีโอชั้นนำของโลก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มองว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เพื่อขยายการลงทุนในประเทศ
สำหรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้านในช่วงนี้ ยังคาดหวังมุ่งผลักดันจีดีพี ให้เพิ่มขึ้นตามศักยภาพร้อยละ 3-5 หากไม่มีอุปสรรคใดๆ เข้ามากระทบเพิ่มเติม ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาอื่นหลายด้าน เพราะหากไม่ได้รับการแก้ไขโอกาสจีดีพีจะปรับตัวขึ้นไปคงลำบาก จึงต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน
นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยังเดินหน้าให้กระทรวงคลัง แบงก์ชาติ ผลักดันแนวคิด ในการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อรับซื้อหนี้เสียออกจากระบบ โดยต้องหารือกับธนาคาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดให้ AMC เป็นแบบใด เข้ามาจัดการหนี้ภาคประชาชนอย่างไร เพราะยังหวังให้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาหนี้ NPL ของระบบ
กรณี ครม. เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 เหลืออีก 25,000 ล้านบาทนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนนี้ เช่น นำมาใช้เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถนำมาใช้ได้ จึงต้องให้หลายหน่วยงานช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดนให้กลับมาค้าขายเป็นปกติเหมือนเดิม.
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง และผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ โดยมีผู้บริหารจากบริษัทระดับโลกเข้าร่วม 30 บริษัท จากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และสิงคโปร์ บริษัทชั้นนำทั้ง 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายใหม่ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 550,000 ล้านบาท และได้ช่วยสร้างงานให้บุคลากรไทยกว่า 53,000 ตำแหน่ง อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 สาขาหลัก ได้แก่ 1) เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น Infineon, Analog Devices, Sony Technology, Haier, Foxsemicon 2) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เช่น Changan, BYD, Sunwoda, Continental 3) ดิจิทัล เช่น Google, Tiktok และ 4) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร เช่น Mead Johnson, Nestle เป็นต้น
การหารือระดับสูงระหว่างผู้นำรัฐบาลและผู้บริหารของบริษัทชั้นนำระดับโลกในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายหลังจากความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลไทยต้องการสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ใช้เวที “PM Meets Investors” เน้นย้ำต่อกลุ่มนักลงทุนว่า รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าเชิงรุก มุ่งเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการยกระดับความแข็งแกร่งของระบบนิเวศทางธุรกิจในประเทศ ผ่านมาตรการและกลไกสนับสนุนต่าง ๆ
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และบริษัทผู้ผลิต PCB จำนวน 6 ราย เพื่อดำเนินโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษา รองรับอุตสาหกรรมการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี