องค์กรต้านโกงขอนแก่นไม่ทน
แจ้งจับ‘ภูมิธรรม’!
ปล่อย‘กัมพูชา’รุกรานประเทศ
กต.เชิญทูตฟังความจริง
เขมรวางทุ่นระเบิดใหม่
1เดือนทหารเหยียบ5ครั้ง
ผิดกฎออตตาวาร้ายแรง
บัวแก้วนำคณะทูตประเทศภาคีอนุสัญญาออตตาวา ลงพื้นที่ “อุบลฯ-ศรีสะเกษ” ดูการทำงานของอีโอดี ในพื้นที่ภูมะเขือ ตรวจพื้นที่ความเสียหายพลเรือนที่ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์-รร.ภูมิซรอลวิทยา ยันไทยยึดก.ม.ระหว่างประเทศ พร้อมเปิดข้อเท็จจริงให้ประชาคมโลกรู้ ด้าน มทภ.2 พร้อมพาทูตไปดูจุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ลั่นมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เขมรวางใหม่ สั่งงดเดินเท้าลาดตระเวน หนุนสร้างรั้วกั้นถาวรจุดที่ปักปันเขตแดนแล้ว ขณะที่กต.แจงทูต 41 ปท.1 องค์กรภาคี แจงไทม์ไลน์ไม่ถึงเดือนทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่เขมรมาซุกไว้แล้ว 5 ครั้ง ยันไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นระเบิดใหม่ ไม่ใช่มรดกจากสงครามอย่างที่เขมรอ้าง ฉีกหน้าเขมรไม่ร่วมมือกู้กับระเบิด-ปราบแก๊งคอลฯ ส่วนปธ.องค์กรด้านโกงขอนแก่นเข้าแจ้งจับ ‘ภูมิธรรม’ปล่อยปะละเลยทำให้ต่างชาติรุกรานไทย ทำประเทศเสียหาย-เสียเปรียบในเวทีโลก จากเหตุพิพาทไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (16 สิงหาคม) รัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะนำคณะทูตที่เป็นผู้แทนจากสถานทูตประเทศภาคีของ Ottawa Convention ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ บริเวณผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ รับฟังบรรยายสรุปการทำงานของเจ้าหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิด ของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 ในพื้นที่ภูมะเขือ ก่อนไปตรวจพื้นที่ความเสียหายพลเรือน ที่บ้านหนองเม็ก ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา จ.ศรีสะเกษ ขอย้ำว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นรักษากฎหมายระหว่างประเทศ เคารพหลักมนุษยธรรม และพร้อมเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อประชาคมโลก เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นความมุ่งมั่นของไทยในการแก้สถานการณ์อย่างสันติและเป็นธรรม
ทหารตรึงกำลัง-กั้นลวดหนามแนวชายแดน
นายจิรายุกล่าวต่อว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกช่องทาง เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ กองทัพไทยยังวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ 7 จังหวัด และวางรั้วลวดหนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามาแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และพร้อมตอบโต้ทันทีหากถูกรุกล้ำอธิปไตยของไทย ขณะที่หน่วยเก็บกู้ระเบิดยังตรวจพบกับระเบิดที่ลักลอบเข้ามาวางในพื้นที่อธิปไตยไทยอย่างต่อเนื่อง หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชานำมาวางไว้ เป็นการผิดข้อตกลงหยุดยิงและขัดสนธิสัญญาออตตาวาที่ห้ามใช้กับระเบิดบุคคล ถือเป็นการละเมิดกฎกติการะดับโลกอย่างร้ายแรง
พร้อมพาคณะทูตดูจุดเขมรฝังกับระเบิด
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศจะนำคณะทูตที่เป็นผู้แทนจากสถานทูตประเทศภาคีของ Ottawa Convention ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และศรีสะเกษ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการทำงานของเจ้าหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 ในพื้นที่ภูมะเขือว่า เราพร้อมอยู่แล้วที่จะให้ผู้แทนนานาชาติเข้าไปดูพื้นที่เกิดเหตุ ให้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ เราเก็บข้อมูลหลักฐานไว้หมดแล้ว ชี้ชัดได้ว่าทหารกัมพูชา เป็นผู้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเขตอธิปไตยของไทย ทำทหารไทยบาดเจ็บหลายราย
“มีทุ่นระเบิดที่เราเก็บได้ และจะพาไปดูจุดเกิดเหตุที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่เขมรวางเอาไว้ ซึ่งเป็นแผ่นดินไทยและเป็นระเบิดที่นำมาวางใหม่ ขณะนี้เราเคลียร์พื้นที่ปลอดภัยแล้ว”พลโทบุญสินกล่าว
หนุนกั้นรั้วชายแดน-ชะลอลาดตระเวนใช้ITช่วย
และว่า สำหรับพื้นที่อื่นที่จำเป็นต้องใช้ทหารลาดตระเวนนั้น ระหว่างนี้สั่งการให้เฝ้าตัวทางไกลก่อน ยังไม่ให้เข้าไปพื้นที่ หากเครื่องมือ อุปกรณ์ การตรวจทุ่นระเบิดยังไม่เพียงพอ แต่หากจำเป็นต้องลาดตระเวนให้ใช้เทคโนโลยี โดรน เฝ้าตรวจแทนไปก่อน เพราะไม่คุ้ม พร้อมทั้งใช้ลวดหนามหีบเพลง ที่ได้รับบริจาคกับประชาชนขวางกั้นให้ทั่วถึงทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีโซเชียลมีเดียแชร์รั้วลวดหนามหีบเพลงที่แข็งแรงของประเทศเพื่อนบ้านกับกัมพูชา ของไทยมีโอกาสจะสร้างแบบนั้นได้หรือไม่ พลโทบุญสินกล่าวว่า อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการในอนาคต ซึ่งหากจะสร้างรั้วแบบนั้น ต้องได้รับความยินยอมกัมพูชา จะเห็นได้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเราทำได้ ซึ่งบางจุดที่ปักปันเขตแดนชัดเจนแล้วของไทยก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งอยากให้ทำและทยอยทำไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ยอมรับว่าชายแดนไทย-กัมพูชายาวมากเกือบ1,000 กิโลเมตร ต้องใช้งบประมาณสูง หากทำได้เช่นนั้น จะแก้ปัญหาลดการลาดตระเวน การเฝ้าตรวจ ใช้เทคโนโลยีเป็ดกล้องวงจรปิด ก็จะลดภาระงานของกำลังพล สำหรับปัญหาเรื่องโดรน บินล้ำแดน อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา
กต.แจงทูต41ปท.1องค์กรระหว่างปท.
วันเดียวกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งดำเนินการมาต่อเนื่อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 เพื่อให้ข้อเท็จจริงกรณีกัมพูชารอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพถาวร และสร้างความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน นอกจากนี้ ต้องการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและเหตุผลการดำเนินการของไทย
โดยครั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ เชิญคณะทูตประเทศสมาชิกอาเซียนและภาคีอนุสัญญาห้ามทุนระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออสตาวา รวมทั้งผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุนระเบิดเข้าร่วม มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย เอกอัครราชทูตหรือผู้แทนทั้งหมด 41 ประเทศ 1 องค์กรและองค์การระหว่างประเทศ รวม 61 คนมาเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย
ทั้งนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวเปิดการบรรยายผ่านวิดีโอคอล เนื่องจากติดภารกิจร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบแม่โขง-ล้านช้าง ที่เมืองอันหนิง ประเทศจีน จากนั้นนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวบรรยายสรุปสถานการณ์ชี้แจงให้ประชาคมโลกทราบความจริงที่ครบถ้วนว่า การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออสตาวาที่กัมพูชาเป็นภาคี และความไม่ตั้งใจจริงของกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แม้ฝ่ายไทยจะเสนอให้เก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศย้ำถึงความมุ่งมั่นของฝ่ายไทยในการปฏิบัติตามอนุสัญญาและข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด
ย้ำเขมรใช้ทุ่นระเบิดละเมิดอนุฯออตตาวา
นายรัศม์ยังสรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมให้คณะทูตฟัง โดยชี้ให้เห็นผลกระทบของการใช้ทุ่นระเบิด ต่อความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งไทยเสนอกัมพูชา 2 เรื่อง 1. เก็บคู่ทุนระเบิด และ 2 ปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ร่วมกัน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากกัมพูชา นอกจากนี้ ยังย้ำถึงความโปร่งใสในการดำเนินการของฝ่ายไทยที่จัดให้คณะทูตลงพื้นที่สังเกตการณ์ผลกระทบจากการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าของกัมพูชา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และอีกครั้งคือวันที่ 16 สิงหาคมจัดลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์การใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา
ต่อมาพล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พร้อมผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุกทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเหตุทหารไทยเหยียบกลับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่ครั้งแรกวันที่ 16 กรกฎาคม พื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ถึงครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 พร้อมทั้งให้ข้อมูลภารกิจและการใช้เทคโนโลยี การตรวจสอบการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย และบทบาทของหน่วยงานปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
และต่อมา นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ให้ข้อมูลความพยายามของฝ่ายไทยที่ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน แต่เหตุการณ์เหยียบกับระเบิดโดยฝ่ายทหารไทยล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเรื่องการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อนมนุษยธรรม ไม่ใช่ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาให้ความสำคัญ โดยไทยได้ประท้วงกัมพูชาในช่องทางการทูตไปแล้ว และผลักดันเรื่องนี้ต่อเนื่อง การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรืออาร์บีซี และรวมถึงการประชุมจีบีซีที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้
ไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดไปแล้ว99.5%
นางพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศให้ข้อมูลการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญาออสตาวาโดยฝ่ายกัมพูชา จากการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตลอดจนชี้แจงข้อเท็จจริงของไทย และการประท้วงของไทยต่อกรณีข้างต้นในเวทีพหุภาคีต่างๆ
ขณะที่นายนิกรเดชกล่าวสรุปประเด็นสำคัญของการบรรยายครั้งนี้ว่า มี 6 เรื่อง เรื่องแรก ไทยยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศและพร้อมปฎิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด รวมถึงพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาออสตาวา ในการกำจัดทุ่นระเบิด ทั้งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและมนุษยธรรมสำหรับประชาชน ถึงปัจจุบันไทยเก็บกู้พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 99.5% ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2500 ตารางกิโลเมตร และยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
1เดือนทหารไทยเหยียบระเบิด5ครั้ง
2. ช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมาทหารไทยต้องเหยียบกับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชามาแล้ว 5 ครั้ง เมื่อวันที่ 16 วันที่ 23 และ 28 กรกฎาคม และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ทุพพลภาพถาวร 5 ท่าน และมีผู้ได้รับบัตรเจ็บหลัก 10 คน โดยฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดที่พบบริเวณชายแดนเป็นทุนระเบิดประเภท PMN2 ที่ถูกนำมาวางใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่เป็นมรดกจากสงครามในอดีต อย่างที่เขมรอ้าง และขอย้ำว่าฝ่ายไทย ไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครอบครองแล้ว
3. ประเทศไทยได้ประท้วงกัมพูชาในช่องทางต่างๆ ทั้งกรอบอนุสัญญาออสตาวา ประท้วงไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ ประท้วงไปยังประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา เป็นการละเมิดอธิปไตย ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมทั้งยังละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธะกรณีตามอนุสัญญาออสตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคี อีกทั้ง ยังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่กำหนดให้ทั้งสองประเทศยุตติใช้อาวุธทุกชนิด รวมถึงถ้วยระเบิดสังหารบุคคลด้วย
4. กัมพูชาปฏิเสธหารือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ ตามที่ไทยเคยเสนอการประชุมจีบีซีสมัยวิสามัญที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตใจและไม่จริงใจของเขมร ไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุตติการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออสตาวา และข้อตกลงหยุดยิงทันที แสดงความจริงใจฟื้นฟูสันติภาพบริเวณชายแดน และร่วมมือกับไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน
หวังปท.สมาชิกออตตาวาบี้เขมรกู้ระเบิด
5. ประเทศไทยหวังว่า ประเด็นเรื่องการเก็บคู่ทุนระเบิดจะได้รับการพิจารณาในการประชุม อาร์บีซี และ จีบีซี ที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆนี้ เป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและการดำเนินชีวิตของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ6. วันที่ 16 สิงหาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดให้คณะทูตประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออสตาวา และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ที่มีภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ สังเกตการณ์ความเสียหาย ที่เกิดเกิดจากการใช้ทุ่นระเบิดของเขมร ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะได้นำหลักฐานเชิงประจักษ์กลับไปพิจารณาทบทวนให้ความช่วยเหลือกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างรอบคอบ รวมทั้งกดดันให้กัมพูชาในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาแสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้
ฉะเขมรเลิกปล่อยข่าวปลอม
นายนิกรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยยังยืนยันความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเขตแดนและความตึงเครียดต่างๆกับกัมพูชาโดยสันติวิธีผ่านกลไกลทวิภาคีที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาร์บีซี จีบีซี หรือเจบีซี ไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความจริงใจและความสุจริตใจ และหวังให้กัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในกลไกเหล่านี้เหมือนกัน และฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุตติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะขัดเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิง ที่กำหนดให้งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อการสร้างภาวะที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาและลดความตึงเครียดที่มีอยู่
แนวทางเปิด-ปิดด่านให้รอดูหลังถกจีบีซี
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุจะยังไม่มีการเปิดด่านชายแดนจนกว่าตนเองจะเกษียณอายุราชการ แนวทางรัฐบาลเป็นอย่างไรว่า รัฐบาลชัดเจนอยู่แล้วว่ารอให้การประชุมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี)เกิดขึ้นก่อน ค่อยว่าไปตามนั้น ตามกระบวนการ สสส่วนเรื่องการล้อมรั้วชายแดน ประชาชนบางส่วนสนับสนุนให้ทำเป็นกำแพงถาวรไปเลยนั้น ให้รอการเจรจาเรามีกระบวนการอยู่ ทุกอย่างต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่ความปรารถนาจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที
ส่วนกรณีกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เชิญทูตต่างประเทศ โดยเฉพาะที่สนับสนุนกัมพูชา เราพยายามชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาใช้ทุ่นระเบิด และพยายามสื่อให้เขาเลิกสนับสนุนเขมรจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า อะไรที่เป็นข้อเท็จจริงเราก็เสนอได้ เรายื่นประท้วงไปแล้วว่าเขมรละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งทำได้ ไม่มีปัญหา และเราควรทำ ขณะนี้เรายื่นประท้วงไปแล้ว ประเด็นนี้คงไม่มีปัญหา รอให้เรื่องเกิดขึ้น ก็จะเป็นประเด็นหนึ่งที่เราจะใช้คุยในคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (อาร์บีซี) และจีบีซี
มั่นใจเครดิตไทยในประชาคมโลกดีกว่าเขมร
ผู้สื่อข่าวถามว่าไทยร้องเรียนองค์กรระหว่างต่างประเทศไปแล้ว องค์กรเหล่านั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า หลายองค์กรติดตามแล้ว บางองค์กรเรียกประชุมกัน ขณะนี้ในกระบวนการทางด้านการทูตก็มีกระบวนการของเขาอยู่ แต่ทั้งหมดนี้อย่างที่ตนเคยบอกให้เก็บหลักฐานทั้งหมด และจะเอาไปใช้ในช่วงเวลาหรือกระบวนการที่เหมาะสมที่ต้องทำ ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็ทำความเข้าใจกับนานาประเทศ เราเองเชิญทูตมาดู มาพบ มาเห็น ส่วนใหญ่ประเทศไทยยืนอยู่ในจุดที่นานาประเทศเข้าใจเรา ให้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมากกว่า ตนเชื่อว่าประชาคมโลก เครดิตของประเทศไทยเป็นเครดิตที่ได้รับการยอมรับมากกว่า ทั้งพฤติกรรมและกระบวนการ ไทยดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนทางกฎหมายมาตลอด แม้ว่าอาจมีเรื่องการทำความเข้าใจกับประชาชนน้อยไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ในทางการทูตและทางกฎหมาย เรายื่นเรียบร้อยกว่าทุกอย่าง
ปธ.ต้านโกงขอนแก่นแจ้งความ‘ภูมิธรรม’
ที่ สภ.เมืองขอนแก่น นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่นภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น พร้อมนายชัยชนะ ทัศนนิยม ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย นายอภิชัย เพชรสม และ นายวีระศักดิ์ สายทอง แกนนำองค์กรต่อต้านคอรัปชั่นฯเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.119,120,124,157 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง
นายตุลย์กล่าวว่า การมาร้องทุกข์กล่าวโทษนายภูมิธรรมครั้งนี้ ด้วยเรื่องเอกราชและอธิปไตยของชาติเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด แต่ว่ารักษาการนายก ไม่ได้ทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยปะละเลยทำให้ต่างชาติรุกรานประเทศไทยได้ทำให้ประเทศไทยเสียเอกราช ถ้ามองดูการทำงานฝ่ายทหารจะเห็นว่าฝ่ายไทยเข้าไปยึดพื้นที่กลับมา นั่นแปลว่าเราเสียเอกราชไปแล้ว แต่ว่าทหารได้ไปยึดกลับมา 11 แห่ง ยืนยันโดยทหาร การรักษาการนายกรัฐมนตรีต้องปกป้องรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้มั่นคง แต่ที่ทหารขาขาด บาดเจ็บ ประชาชนล้มตายทรัพย์สินเสียหาย นั่นคือความร้ายแรงของผู้รักษาการนายกฯต้องทำ และต้องปกป้องให้ได้แต่ไม่มี มีแต่ไปเข้าข้างศัตรู โดยเฉพาะกัมพูชานั่นเป็นโทษร้ายแรงมาก
“เราจำเป็นต้องปกป้องรักษา โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 50 เรามากล่าวโทษร้องทุกข์วันนี้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอย่างเคร่งครัดคือ มาตรา 157 119 120 124 ส่วนกรณีรักษาการนายกฯไปให้สัมภาษณ์ประเด็นต่างๆคือการไปเข้าข้างศัตรูอย่างร้ายแรงโทษมาตรา 119 คือ ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต”นายตุลย์กล่าว
ซัดเป็นรักษาการนายกฯแต่ชี้แจงแทนเขมร
และว่า การที่นายภูมิธรรมไปกล่าวว่ากัมพูชาไม่ได้ตั้งใจยิงหรือยิงแบบต่างๆนั่นเป็นการคุมคามรุกรานอย่างร้ายแรง ตามกฎหมายระหว่างประเทศยอมรับไม่ได้ มันคืออาชญากรสงครามเราต้องร้องไปที่ ไอซีซี หรือ กฎหมายระหว่างประเทศที่ดำเนินการกันอยู่ตอนนี้ อยากให้ดำเนินคดีกับนายภูมิธรรม จากบทสัมภาษณ์ว่า เขมรไม่ได้มีการล็อกเป้าวิถียิงแบบกระจาย โดยเฉพาะข้อความสุดท้ายบอกว่าไม่ได้ตั้งใจยิงใส่โรงพยาบาล นายภูมิธรรมมีหน้าที่ต้องไปตอบแบบนี้หรือไม่ คนที่จะตอบแบบนี้คือฝั่งเขมร แต่นายภูมิธรรมตอบแบบนี้เสมือนว่าไปตอบแทนฝั่งกัมพูชาแล้ว และมีบางส่วนจะนำนายกฯภูมิธรรมเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ
นายตุลย์กล่าวอีกว่า ถ้าฮุนเซนเอาบทสัมภาษณ์นี้ไปบอกศาลว่า รักษาการนายกฯไทยตอบแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ ศาลจะฟังใครเพราะเราไปตอบเองเสียแล้ว เราไปตอบแทนฝั่งกัมพูชาแล้ว นายภูมิธรรมไม่ได้มีหน้าที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตั้งใจยิงหรือไม่ ที่สำคัญยังไปบอกทหารอีกว่าการลาดตระเวนที่ขาขาดเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เราในฐานะคนไทยถ้ารับกับสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร วันนี้ทุกคนจึงมีเจตนาจะให้ดำเนินคดีนายภูมิธรรมตามเอกสารที่แนบมานี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี