หลักฐานชัดซุกทุ่นระเบิดที่สุรินทร์  กต.ลุย‘เจนีวา’  ฟ้องเขมรแหกกฎหยุดยิงซ้ำซาก

หลักฐานชัดซุกทุ่นระเบิดที่สุรินทร์ กต.ลุย‘เจนีวา’ ฟ้องเขมรแหกกฎหยุดยิงซ้ำซาก

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หลักฐานชัดซุกทุ่นระเบิดที่สุรินทร์

กต.ลุย‘เจนีวา’

ฟ้องเขมรแหกกฎหยุดยิงซ้ำซาก

เร่งถกกก.อนุสัญญาออตตาวา

ไล่บี้‘กัมพูชา’ช่วยไทยกู้ระเบิด

โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์ 7 จังหวัด 11 จุดชายแดนไทย-เขมรยังปกติ แต่มีหลักฐานชัดเขมรละเมิดข้อตกลงหยุดยิง “จีบีซี” และอนุสัญญาออตตาวาต่อเนื่อง ล่าสุด ทหารเขมรลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารที่เนิน 350 สุรินทร์ ตะปูเรือใบจำนวนมาก จึงต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และเดินหน้าตอบโต้ทางาการทูต เปิดเผยให้ประชาคมโลกรับรู้ ด้านความมั่นคงพร้อมตอบโต้เช่นกัน ด้าน‘รมว.กต.’บิน’เจนีวา’จับเข่าคุยปท.ที่มีบทบาทด้านการกู้ทุ่นระเบิด และกก.ออตตาวา ยันมีหลักฐานชัดเขมรใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายไทย เพื่อให้กกดันเขมรหยุดการกระทำ และมาร่วมมือเก็บกู้

เมื่อเวลา 07.00น.วันที่ 24สิงหาคม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) สรุปสถานการณ์ชายแดน 11 จุด ใน 7 จังหวัดว่า ยังปกติ กองทัพไทยยังตรึงกำลัง และเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในบางพื้นที่


เขมรละเมิดข้อตกลงหยุดยิงต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือจีบีซี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา และสนธิสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่ทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาวาง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา พบวัตถุระเบิดเพิ่มเติม ได้แก่ กับระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ลูก (รวมเป็น 3 ลูก) ลูกระเบิด ค.ด้าน 2 ลูก และตะปูเรือใบอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐาน และเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกจากพื้นที่แล้ว รัฐบาลจะติดตามความเคลื่อนไหวของกัมพูชาใกล้ชิด และพร้อมตอบโต้ทั้งทางการทูตและความมั่นคงอย่างเหมาะสม รวมถึงจะชี้แจงให้ประชาคมระหว่างประเทศรับรู้ถึงการกระทำของกัมพูชาที่ ละเลยและละเมิด ข้อตกลงทั้ง 3 ส่วนข้างต้น

กต.ส่งหลักฐานล้ำแดนวางระเบิดให้IOT

กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ตามที่มีการสอบถามเกี่ยวกับกรณีการรุกล้ำอธิปไตยของไทยของเขมร และการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนไทยล่าสุด นายนิกรเดช พลางกูรอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22สิงหาคม ทหารไทยตรวจพบการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาบริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย จึงได้ขับไล่ทหารกัมพูชาออกไป หลังจากนั้นได้มีการเข้าตรวจสอบพื้นที่ และพบทุ่นระเบิดชนิดPMN-2 ในจุดที่พบทหารกัมพูชาและบริเวณโดยรอบจำนวน 3ทุ่น พร้อมอาวุธอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง

รมว.กต.บิน’เจนีวา’ฟ้องกก.ออตตาวา

โฆษกกระทรวงต่างประเทศกล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้บ่งชี้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวา และเงื่อนไขหลายข้อของข้อตกลงหยุดยิงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญ ที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายไทยจะได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาต่อไป

“รมว.ต่างประเทศจะเดินทางเยือนนครเจนีวาช่วงสัปดาห์นี้ เพื่อพบหารือกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญในประเด็นทุ่นระเบิด รวมถึงคณะกรรมการการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา (Committee on Cooperative Compliance) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาหลายครั้งที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด และใช้โอกาสนี้ขอให้ประเทศต่างๆ เรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือกับไทยเก็บกู้ระเบิดบริเวณชายแดน และในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯอย่างรับผิดชอบ”โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว

ทบ.เสียใจครอบครัวพลทหารพิทยุตม์

ด้านพ.ต.หญิง จุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของ พลทหาร พิทยุตท์ โสดา กำลังพลสังกัด กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 เวลา 18.15 น. โดยพบร่างผู้เสียชีวิตภายในห้องสุขา บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้ พลทหาร พิทยุตท์ โสดา อายุ 20 ปี เป็นทหารกองประจำการ รุ่นปี 1/67 จากการสมัครใจเข้ามารับราชการในโครงการพลทหารออนไลน์ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ปืนเล็กที่ 2 หมวดปืนเล็กที่ 1 สังกัด กองร้อยทหารราบที่ 211 กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้เสียชีวิตไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีประวัติเสพยาเสพติด ไม่มีภาวะความเครียด ไม่พบบาดแผล และไม่พบการทะเลาะวิวาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด โดยรอผลชันสูตรพลิกศพจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ กองทัพบกขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ พลทหาร พิทยุตท์ โสดา และขอเชิดชูในความเสียสละของผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ กองทัพบกดำเนินการแจ้งให้ญาติทราบแล้ว และจะให้การดูแลช่วยเหลือครอบครัวของกำลังพลอย่างครบถ้วนเต็มที่ตามสิทธิและระเบียบที่ราชการกำหนด

มทภ.2เสียใจพร้อมดูแลสิทธิเต็มที่

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว น้องพลทหารพิทยุตม์ โสดา ซึ่งตนได้รับรายงานจากผู้บังคับบัญชา โดยตรงจากพื้นที่แล้ว การเสียชีวิตของพลทหารพิทยุตม์ เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่สะสมมาจากการทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม แต่ยังไม่มีการปะทะกันจนกระทั่งถึงปัจจุบันน้องพลทหารพิทยุตม์ ก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีทั้งนี้สิทธิกำลังพลต่างๆ ก็จะดำเนินการให้อย่างเต็มที่ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการปฎิบัติหน้าที่ชายแดน

โพลภูมิใจทหารทำคนไทยมีความสุข

ด้านผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย ระหว่างวันที่ 20-23สิงหาคม2568 ผลการสำรวจพบว่า “ความภูมิใจของคนไทย” สะท้อนฐานค่านิยมร่วมที่โน้มไปทางความกล้าหาญความเสียสละ และรากฐานประวัติศาสตร์ความเป็นเอกราชของชาติเป็นสำคัญ โดยข้อที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดคือ “ความกล้าหาญ เสียสละของทหาร นักรบไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของไทย” อยู่ที่ร้อยละ 92.6 รองลงมาเป็น “ไทยรักษาเอกราชของชาติ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นจนถึงปัจจุบัน” ร้อยละ 85.8 ตามด้วย “ความสามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤต” ร้อยละ 82.9 และ “ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ารักสงบ มีอารยะ มีความเจริญ” ร้อยละ 81.5 ส่วน “เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย” อยู่ที่ร้อยละ 79.3

เมื่อพิจารณาค่าสถิติโดยรวมของหมวดนี้ ค่าเฉลี่ยร้อยละของทั้งห้าประเด็นอยู่ราว 84.4 โดยค่าต่ำสุดสูงสุดกระจายตัวอยู่ระหว่าง 79.3 ถึง 92.6 ช่องว่างเชิงสัดส่วน (range) ประมาณ 13.3 จุดเปอร์เซ็นต์ แปลได้ว่า แม้ทุกประเด็นจะได้รับการสนับสนุนในระดับสูงมากอย่างสม่ำเสมอ แต่ “ความเสียสละของกำลังพล” เป็นภาพจำร่วมที่โดดเด่นเหนือประเด็นอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางเชิงสังคมวัฒนธรรม

ชื่นชมมทภ.2ที่1-ผู้กองอะตอมอันดับ2

รายงานของซูเปอร์โพลระบุด้วยว่า ความรู้สึก “ชื่นชอบต่อทหารชายแดนไทย–กัมพูชา” สะท้อนการยอมรับตัวบุคคลและบทบาทหน่วยเฉพาะที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า โดยอันดับแรกคือ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2” ร้อยละ 64.5 จี้ติดตามรองลงมาด้วย “ร้อยเอกหญิง ปวิชญา วลีสุขสันต์ (ผู้กองอะตอม)” ร้อยละ 63.8 ถัดมาเป็น “นักบินรบ ฝูงบิน F-16 และกริพเพน” ร้อยละ 61.7 “นักรบชุดดำ-ตชด.” ร้อยละ 58.9 และ “กลุ่มอาสาสมัคร” ร้อยละ 55.3

เมื่อพิจารณาเชิงสถิติต่อการกระจายตัวสัดส่วนทั้งห้ารายการอยู่ราว 60.8 มีพิสัยค่าประมาณ 9.2 จุดเปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่าความนิยมกระจายค่อนข้างแน่นในกลุ่มระดับ “สูงพอๆ กัน” อาจนำไปสร้างมิติของคอนเทนต์ได้ว่า “แม่ทัพภาค 2 ผู้กองอะตอม บุคคลต้นแบบ หญิงแนวหน้า ขีดความสามารถทางอากาศกำลังตำรวจชายแดน พลังอาสาสมัคร” ต่างได้รับการยอมรับร่วมกัน นัยหนึ่งคือภาพลักษณ์กองกำลังปฏิบัติการทั้งมวลตั้งแต่ยุทธศาสตร์ ภาคพื้นดิน อากาศ ไปจนถึงภาคประชาชนถูกมองว่าเชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ป้องปรามที่มีประสิทธิภาพ

ภูมิใจกองทัพไทยมากที่สุดเกือบ100%

รายงานของซูเปอร์โพล ชี้ให้เห็นคำถามระดับมหภาค “ความภูมิใจต่อกองทัพไทย” ยืนยันภาพรวมความเชื่อมั่นในระดับสูงมาก โดยร้อยละ 91.7 ระบุว่า “ภูมิใจมากถึงมากที่สุด” ขณะที่ร้อยละ 5.4 อยู่ระดับ “ปานกลาง” และมีเพียงร้อยละ 2.9 ที่ระบุ “น้อยถึงไม่ภูมิใจเลย” เมื่อนำสัดส่วนเชิงบวกลบเทียบกัน พบอัตราส่วนบวกต่อเชิงลบโดยคร่าวประมาณ 31.6 ต่อ 1 และส่วนต่างสุทธิ (net favorability) ราว +88.8 จุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับ “ฉันทามติสังคม” ที่สูงมากในเชิงการรับรู้ภาพรวมสถาบันที่น่าประทับใจ

นอกจากนี้ แม้การสู้รบและการสูญเสียเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ควรเน้นหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ แต่ผลการปฏิบัติทางทหารของไทยทำให้คนไทยมีความสุขหลายด้านที่สะท้อนอารมณ์ร่วมเชิงบวกระดับสูงต่อผลลัพธ์ที่ปกปักรักษาอธิปไตยและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยข้อที่สูงสุดคือ “กองทัพไทยยึดคืนแผ่นดินไทยกลับมาได้” ร้อยละ 94.3 รองลงมาคือ “ทหารไทยสู้รบด้วยความกล้าหาญปกป้องมาตุภูมิ” ร้อยละ 91.2 และสองประเด็นทางสังคมสงเคราะห์ทุนทางสังคม ได้แก่ “เห็นการบริจาคและการเยียวยาทหารและประชาชน” ร้อยละ 87.4 “เห็นความสามัคคีของคนในชาติ” ร้อยละ 86.1 และ “เห็นพลังความรักชาติของคนไทยทั้งประเทศ” ร้อยละ 83.8 โดยภาพรวมหมวดนี้มีค่าเฉลี่ยร้อยละราว 88.6 กระจายตัวระหว่าง 83.8 ถึง 94.3 พิสัยประมาณ 10.5 จุดเปอร์เซ็นต์ ชี้ให้เห็นว่า “ผลสัมฤทธิ์เชิงอธิปไตยเกียรติภูมิแนวหน้า” และ “ความเอื้ออาทรสามัคคีของสังคม” เป็นสองแกนสำคัญของความสุขทางอารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

มวลชนไว้วางใจกองทัพสูงมาก

เมื่อนำทั้งสี่มิติสัมพันธ์เข้าด้วยกัน ภาพรวมชี้ว่าคนไทยมี “ทุนความภูมิใจ” ที่ตั้งอยู่บนแกนประวัติศาสตร์ชาติและความกล้าหาญของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขยายผลเป็น “ทุนอารมณ์ร่วม” ในรูปของความสุขเมื่อเห็นความสำเร็จในการปกป้องดินแดนและการเกื้อกูลกันในยามวิกฤต ทั้งหมดนี้ยังสะท้อน “ทุนความไว้วางใจเชิงสถาบัน” ต่อกองทัพที่สูงมาก ซึ่งเมื่อเทียบเชิงญาติแล้ว ความภูมิใจ ความสุข ความชื่นชอบต่อบุคคล/หน่วยหน้าด่าน เสริมแรงกันกล่าวคือ ความภูมิใจทางประวัติศาสตร์และสถาบัน ช่วยหล่อเลี้ยงความนิยมต่อผู้ปฏิบัติ ขณะที่ความสำเร็จเชิงปฏิบัติการและภาพความเอื้ออาทรในสังคมก็ย้อนกลับไปย้ำความภูมิใจและความสุขร่วมของสาธารณชนอีกทอดหนึ่ง

ในมุมวิเคราะห์เชิงนโยบายสื่อสารสาธารณะ ผลลัพธ์นี้ชี้โอกาสสำคัญในการสื่อสาร “สองขาที่สมดุล” ระหว่างขั้วคุณค่าด้านความกล้าหาญ การปกป้องอธิปไตย กับขั้วคุณค่าด้านมนุษยธรรม สามัคคีของพลเมือง กล่าวคือ ความนิยมที่สูงต่อกำลังพลแนวหน้าและหน่วยเฉพาะ อาจต่อยอดสู่การสื่อสารเรื่อง “ความเป็นมืออาชีพความโปร่งใส ความรับผิดชอบ” ควบคู่ “ความร่วมมือพลเมือง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ การลดอคติทางชาติพันธุ์ การเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” เพื่อยกระดับทุนสังคมจากความภูมิใจเชิงอารมณ์ ไปสู่ความไว้วางใจเชิงสถาบันที่ยั่งยืน

กล่าวโดยสรุป ผลสำรวจสะท้อนฉันทามติต่อ “ความกล้าหาญของกำลังพล การธำรงเอกราช ความสามัคคี ความเป็นอารยะของประเทศ” ขณะเดียวกัน ความสุขจากเหตุการณ์ชายแดนวางอยู่บนสองแกนคือ “ผลสัมฤทธิ์เชิงอธิปไตย” และ “ทุนเอื้ออาทรของสังคม” เมื่อหลอมรวมกับความภูมิใจระดับ “มาก – มากที่สุด” ต่อกองทัพในสัดส่วน 91.7% เทียบกับเพียง 2.9% ที่มองเชิงลบ จึงเกิดเป็นทุนสังคมเชิงบวกที่แข็งแรง

ทั้งนี้ เพื่อให้ทุนดังกล่าวต่อยอดเป็นความไว้วางใจระยะยาว ควรระมัดระวังการสื่อสารที่อาจทำให้เกิดการแบ่งขั้วหรือมองข้ามความปลอดภัยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่ายในพื้นที่ชายแดน

ข้อเสนอแนะเชิงพัฒนาในแนวทางบรรยายต่อเนื่องคือ การใช้ “เรื่องเล่าเชิงหลักฐาน” ที่ผสานเกียรติภูมิของกำลังพลกับกรอบมนุษยธรรมร่วมสมัย โดยยกระดับบทบาทของกลุ่มที่ได้รับการยอมรับสูงในผลสำรวจ เช่น แม่ทัพภาค 2 นักบินรบ ผู้กองอะตอม นักรบชุดดำ ตชด. และอาสาสมัคร ให้เป็น “ทูตสังคม” ถ่ายทอดบทเรียนเรื่องมาตรฐานอาชีพ ความปลอดภัยของพลเรือน และความร่วมมือข้ามภาคส่วน สถานศึกษาควรต่อยอดกระแสสนับสนุนประเด็น “เยาวชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษ” ที่อยู่ระดับสูง (79.3%) ให้กลายเป็นหลักสูตรพลเมืองสากลที่เชื่อมคุณค่าความรักชาติ เข้ากับกติกาสากลและสิทธิมนุษยชน พร้อมส่งเสริมอาสาสมัครเชิงระบบเพื่อแปลง “ความสุขจากการช่วยเหลือเยียวยา” ให้เป็นโครงข่ายถาวรรับมือได้ทุกสถานการณ์

นอกจากนี้ การสื่อสารสาธารณะควรขยายภาพ “สามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤต” (82.9% ในหมวดภูมิใจ และ 86.1% ในหมวดความสุข) ให้เป็นคุณค่าประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะยามเหตุการณ์ตึงเครียด ในระดับปฏิบัติการ ประเด็นที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดอย่าง “ยึดคืนแผ่นดินไทยได้” (94.3%) และ “กล้าหาญปกป้องมาตุภูมิ” (91.2%) ควรถูกเล่าเรื่องควบคู่มาตรการลดความสูญเสียของทั้งทหารและประชาชน ตลอดจนความร่วมมือไทย-กัมพูชาในมิติชายแดนสมัยใหม่ เพื่อให้ความภูมิใจ ความสุข ความไว้วางใจแปรรูปเป็น “สันติภาพที่มีศักดิ์ศรี” อย่างยั่งยืนในระยะยาว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top