รวมพลังแผ่นดินฯ  จี้ฟันเศรษฐา-อิ๊งค์  โยกเงินกู้3.5หมื่นล.  ทำ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’

รวมพลังแผ่นดินฯ จี้ฟันเศรษฐา-อิ๊งค์ โยกเงินกู้3.5หมื่นล. ทำ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’

วันอังคาร ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เสวนา จี้ ป.ป.ช.ฟัน รัฐบาล ‘เศรษฐา-แพทองธาร’กรณีโยกงบเงินกู้3.5หมื่นล้านบาท ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ส่อผิดมาตรา144 สำเร็จ เมื่อ ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว ต้องสอบสวนโดยพลัน ให้เสร็จภายใน 180วัน แต่หากไม่เสร็จสามารถยื่นขอขยายเวลาได้

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 กันยายน 2568 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ สนามหลวง คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย จัดเสวนาหัวข้อ “รัฐธรรมนูญมาตรา144 ชี้ชะตาประเทศ”โดยมี นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายสมชาย แสวงการ อดีตส.ว. ร่วมเสวนา และมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี พล.ร.อ.พะจุญณ์ ตาประทีป เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย


นายชาญชัยกล่าวว่า เจตนารมณ์ที่อยากให้ทุกคนทราบคือการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นมานั้น เพราะต้องการปกป้องไม่ให้วินัยการเงินการคลัง ของประเทศที่นักการเมืองจะสามารถนำไปใช้ได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เป็นฝ่ายบริหารและสามารถจะใช้เงินภาษีของประชาชนได้เป็นล้านล้านบาท ที่สามารถทำอะไรก็ได้แต่ส่วนใหญ่นำไปแจกเพื่อที่จะได้คะแนนเสียง นำไปทำเป็นนโยบายประชานิยม เช่น เรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ตอนหาเสียงก็ยังไม่ทราบว่าจะเอาเงินมาจากไหน แต่เมื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และเซ็นอนุมัติงบประมาณให้เข้า ครม. และไปสู่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งพวกตนได้ยื่นเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งต้องใช้เวลา 5 เดือนกว่าจะหาหลักฐานได้ เนื่องจากหลักฐานอยู่ในมือของคนทำผิด พวกตนต้องนั่งทางในกว่าจะได้หลักฐานมา แม้ไม่ใช่เรื่องของพวกตน แต่พวกตนเห็นว่านี่ก็ถือว่าต้นเหตุของการที่ทำให้ประเทศเป็นหนี้กว่า 14 ล้านบาท รวมถึงเห็นว่าห้ามไม่ให้ กมธ.แตะต้องมาตรา 144 เด็ดขาด ซึ่งหนังสือฉบับนี้ได้ส่งไปยัง ป.ป.ช.ด้วย

นายชาญชัย กล่าวว่า ในการประชุม กมธ.งบประมาณปี 68 ครั้งที่ 38 นั้น มี สส.ถามว่าเงินดังกล่าวผิดมาตรา 144 หรือไม่ ตัวแทนของสำนักงบประมาณเขาบอกไม่ผิด เพราะถือเป็นเงินที่ให้ 5 ธนาคารไปกู้มา เดี๋ยวเอาเงินงบประมาณไปจ่ายให้ ตอนนี้เงินดิจิทัลวอลเล็ตจำเป็นกว่า รัฐบาลมีนโยบายและคำสั่งมติ ครม.มาแล้วว่าสั่งให้ตัด ซึ่งตอนที่ตนอ่านรายงานของ กมธ.ตนก็ขนลุกเพราะนี่คือผู้ใหญ่ของบ้านเมือง สิ่งที่เราสู้กันมาตลอดและไม่เคยสำเร็จต้องใช้ความอดทน และหากพวกคุณติดกับเรื่องลาภยศสรรเสริญกับนักการเมือง ตนสังเกตดูแล้วติดคุกทุกคนเลย อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว จะเป็นเรื่องแรกที่ประชาชนยกเรื่องขึ้นมา โดยไม่เกี่ยวข้องกับ สส. อีกทั้งเรื่องดังกล่าวมีหนังสือที่ส่งไปให้ ครม.ที่ไม่ได้อยู่ในการประชุมเพื่อให้รับทราบเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ย้ำอีกครั้งว่า มีมติไปทำผิดมาตรา 144

ขณะที่ นายจรัญกล่าวว่า กฎหมายเรื่องนี้มีมาตั้งแต่ปี 2540 และยืนยันเหมือนเดิมในปี 2550 แต่ไม่มีสภาพบังคับคือไม่มีกระบวนการให้ใครมาชี้ผิดได้หากกระทำความผิด ไม่มีใครไปร้องผิดได้ และให้สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อได้ 1 ใน 10 เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เฉพาะการฝ่าฝืนวรรคสอง วรรคหนึ่งหลุด ฉะนั้น รัฐบาลจึงไม่กลัว เห็นว่าทำได้ แต่รัฐบาลชุดนี้พังเพราะที่ปรึกษากฎหมายที่ไม่รอบคอบ เขาเชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 เขาอ่านไม่แตกในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่พัฒนาขึ้นมาชนิดที่ว่าแม้แต่ตนก็ไม่เคยสนใจ จนกระทั่งได้ข้อมูลว่านายสมชายและนายชาญชัยไปร้อง ป.ป.ช. ตนจึงได้มาอ่านดูและเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 144 ฉบับปราบโกงนั้น มันเปลี่ยนไปคือจากเดิมที่ในมาตรา 144 วรรคสอง สส. และ สว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 เห็นว่ามีการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคสอง และหากศาลเห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสองจริง ก็เพียงแค่ให้มติหรือการแปรญัตติตามวรรคสองนั้นเป็นอันสิ้นผลนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ซึ่งถือเป็นการลอกของเก่ามาจึงไม่มีน้ำยา นี่จับได้ว่าโกงเงินงบประมาณ โดยผลันไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวทั้งทางตรงและทางอ้อม ศาลตรวจเจอ จับได้ ผลแค่ให้มติหรือการแปรญัตตินั้นสิ้นผล ถือว่าจบ เขาจึงไม่กลัววรรคสอง แต่รัฐธรรมนูญปราบโกงนี้ได้เติมวรรคสามตอนท้าย คือให้ สส. และ สว.ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง พร้อมตัดสิทธิการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้ชดใช้เงินงบประมาณที่ได้ทุจริตบิดผันเอาไปเป็นประโยชน์โดยตรงและโดยอ้อมคืนแก่รัฐด้วย แล้วขยายไปถึงรัฐมนตรี และ ครม.ด้วย เขาอ่านรัฐธรรมนูญไม่แตก เขาจึงกล้าทำ

แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ไปตลอดมาตรา 144 วรรคสามไม่สุด ไปเพียง 2 จุดคือ 1.ให้หลุดจากตำแหน่งทันที และ 2.ตัดสิทธิ์การลงสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี แต่ไม่ได้วินิจฉัยไปในเรื่องการใช้เงินของรัฐ คือให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องใช้เงินนั้นคืนแก่รัฐพร้อมดอกเบี้ย โดยมีอายุความ 20 ปี เหตุที่นายพิเชษฐ์โดนศาลตัดสิน เพราะท่านทำซ้ำอีกครั้งโดยของบประมาณในปี 2569 มันเป็นมาตรการตรวจสอบย้อนหลัง โดยเพิ่มวรรคสี่ วรรคห้า และวรรคหกเข้ามาด้วยในมาตรา 144 คือเมื่อนำเงินรัฐไปใช้แล้ว ต้องจ่ายคืนทางแพ่งย้อนหลัง โดยเจ้าหน้าที่ที่เสนอโครงการ ที่อนุมัติงบประมาณต้องร่วมรับผิดด้วย โดยกฎหมายเปิดช่องทางคุ้มครองให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นด้วย ให้ทำความเห็นแย้งบันทึกไว้ด้วย เมื่อเขาทำผิดเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการก็จะไม่มีความผิด แต่ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ทำเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เลย ถ้ามีการแจ้งไป ป.ป.ช.จะมีหน้าที่สอบสวนทันทีตามวรรคหก ที่ระบุว่าในกรณีที่ ป.ป.ช.ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าผู้จัดสรรงบประมาณอนุมัติโครงการตามวรรคสี่ ป.ป.ช.จะต้องสอบสวนโดยพลัน และหาก ป.ป.ช.สอบสวนว่ามีมูล ต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ปอดแหกกันทั้งนั้น และไม่ใช่แค่ปอดแหกแต่มีผลได้ คือในเรื่องของตำแหน่งหรือประโยชน์อย่างอื่น จึงทำให้ไม่สะเทือนมโนสำนึก แต่ไม่ต้องห่วงแม้ว่าจะได้เป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายจะจบด้วยคุก ตนคิดว่าที่ผ่านมา ป.ป.ช.ช้า เพราะลังเล และหาก ป.ป.ช.ตีตกก็ไม่มีใครกล้าที่จะเสนออีกแล้ว ซึ่งหาก ป.ป.ช.ตีตกนั้นก็อาจจะโดน 172 ฉะนั้น ขอให้ทำประเด็นนี้ให้ชัด

“หาก ป.ป.ช.เสนอเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ผมกังวลคือ ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 15 วันเพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ มีเอกสารเป็นพันหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำให้เสร็จภายใน 15 วัน ไม่เช่นนั้นท่านจะตกเป็นจำเลยของสังคม ทั้งนี้ ผมมองว่าศาลรัฐธรรมนูญคงจะแยกแยะว่าคนไหนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ คงจะปัดออก และคนไหนที่รู้แน่ๆ เช่น กมธ. ซึ่ง สว.ไม่ได้เป็นกมธ.ด้วยเขาจะไปรู้ตื้นลึกหนาบางได้อย่างไร หากเราจะไปสืบให้ครบ 300 กว่าคนนั้น 15 วันก็ไม่เสร็จ ขณะที่ สส.ฝ่ายค้าน และ สส.พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้เป็น กมธ.ด้วยนั้น เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เขาก็ต้องโหวตไปตามมติของพรรค ฉะนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จภายใน 15 วัน ตนมองว่าต้องตัดพวกนี้ออก แต่คนที่มีชื่อแน่ๆ ล็อกแน่ๆ ท่าจะไม่รอด” นายจรัญ กล่าว

ด้าน นายสมชายกล่าวว่า ในการประชุม กมธ.งบประมาณปี 68 ครั้งที่ 38 หลังจากนายเศรษฐาทราบว่ากำลังจะหมดหน้าที่ โดย ครม.นายเศรษฐาเป็นผู้อนุมัติให้กู้เงิน 3.5 หมื่นล้านให้มาใช้หนี้ ขณะที่ ครม. ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อนุมัติให้โยกงบประมาณนี้ไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรวมกับรายงานการประชุม กมธ.งบประมาณปี 68 ครั้งที่ 38 ชี้ให้เห็นว่าเขาหาเงิน 5 แสนล้านบาทมาทำดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ จึงต้องไปตัดงบประมาณส่วนต่างๆ เพื่อมาทำโครงการดังกล่าว มีหลักฐานชัดเจนที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนญูดูว่าครบทั้งเจตนาและหลักฐาน ทั้ง ส.ส.ยังมีการโยกงบประมาณ 1.2 พันล้านเศษจาก 3.5 หมื่นล้าน เอาไปเพิ่มสวัสดิการไปเป็นเงินเดือนและค่ารักษาพยาบาลให้กับอดีตสมาชิกรัฐสภาตลอดชีพ ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนพร้อมจะเรียบเรียงข้อมูล สารบัญเหล่านี้ให้ ป.ป.ช.เพื่อนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนญูวินิจฉัย พวกตนพร้อมไปช่วย ป.ป.ช.ตลอดทั้งสัปดาห์เหล่านี้เพื่อเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ด้าน นายชัยสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อมีการยื่นเรื่องไปที่ ป.ป.ช.แล้ว ป.ป.ช.ต้องสอบสวนโดยพลัน และต้องสอบสวนให้เสร็จภายใน 180 วัน แต่หากไม่เสร็จสามารถยื่นขอขยายเวลาได้อีกครั้งละ 90 วัน รวมแล้ว 450 วัน คำว่าโดยพลันนั้นอยู่ในระเบียบของ ป.ป.ช.ด้วย ฉะนั้น การออกระเบียบของ ป.ป.ช.ฉบับนี้น่าจะขัดแต่รัฐธรรมนูญและมาตรา 88 ของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องการควบคุมการใช้จ่ายเงินของรัฐไปในโครงการประชานิยม แม้จะเป็นโครงการที่ทำให้คนมีงานทำแต่กลับเป็นโครงการที่มีการทุจริตกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นหนี้จำนวนมาก ทั้งนี้ เมื่อมีการยื่นเรื่องไปให้ ป.ป.ช.แล้ว แต่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ทำการสอบสวนโดยพลันนั้นถือว่าผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 88 และมาตรา 144 ซึ่งหาก ป.ป.ช.ไม่ทำก็อาจจะโดนมาตรา 172 ด้วย เพราะไปออกระเบียบที่ขัดต่อกฎหมาย  สำหรับความผิดในมาตรา 144 ในรัฐธรรมนูญมีโทษ 3 สถานรวมถึงโทษทางอาญาด้วย การที่รัฐบาลนายเศรษฐาตั้งงบประมาณกู้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเพื่อมาใช้หนี้แต่กลับถูกโยกงบโดยรัฐบาลต่อมาเพื่อมาทำดิจิทัลวอลเล็ตถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top