วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เริ่มแล้วถอนอาวุธชายแดน
กห.วัดใจเขมร
ถ้ายังเบี้ยวถือว่าไม่จริงใจ
‘บิ๊กดุลย์’ยันยังไม่เปิดด่าน
นายกฯเผยมีแนวโน้มที่ดี
“แม่ทัพภาคที่ 2 ไทย - ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา” ลงนาม แผนปฏิบัติการปรับกำลังและถอนอาวุธหนัก 3 ระยะ หลังคุย RBC วาระพิเศษที่ด่านช่องจอม สุรินทร์ เริ่มเฟสแรก 1-21 พฤศจิกายนถอนจรวดหลายลำกล้อง ก่อนตามด้วยปืนใหญ่ และรถหุ้มเกราะ จนครบสิ้นปี 68 ตอกย้ำความโปร่งใสภายใต้การสังเกตการณ์ของ AOT ลั่น!หากฝ่ายใดปกปิดหรือบิดเบือนจำนวน ประเภทอาวุธ ถือว่า “ไม่จริงใจ”
เมื่อวันที่ 31 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ที่ด่านช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ กองทัพภาคที่ 2 ได้ออกแถลงข่าวการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) พิเศษว่าด้วยการถอนอาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างสูง ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และกองทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทยว่า การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยพิเศษ ว่าด้วยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และกองทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทย จัดขึ้น โดยมี พล.ท.โปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ พล.ท.วีระยุทธ รักษ์ศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 แห่งราชอาณาจักรไทย เป็นประธานร่วม และมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา เข้าร่วมสังเกตการณ์ในที่ประชุม
เดินหน้าแผนสันติภาพ
สำหรับการประชุมจัดขึ้นตามผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 และอยู่ภายใต้แนวทางและหลักการของ ถ้อยแถลงที่ได้ลงนามในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 โดยนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไทย และมาเลเชีย ร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมันร่วมกันของทั้งสี่ประเทศในการส่งเสริม ความโปร่งใส
การสร้างความไว้วางใจ และการบริหารจัดการกำลังทางทหารอย่างมี ความรับผิดชอบในภูมิภาค ทั้ง 2 ฝ่าย จึงได้ตกลงร่วมกันในการดำเนินการถอนอาวุธหนักเป็นระยะ (Phased Removal) และมาตรการสร้างความไว้วางใจร่วมกัน เพื่อเสริมสร้าง ความเชื่อใจระหว่างกันและเสถียรภาพตามแนวชายแดนไทย - ก้มพูชา โดยได้นิยามและการจำแนกอาวุธ 3 ประเภท ดังนี้ 1 ประเภท A หมายถึง ระบบจรวดหลายลำกล้องที่มีตั้งแต่ 2 ลำกล้องขึ้นไป, 2 ประเภท B หมายถึง ระบบปืนใหญ่ทุกประเภท ประกอบด้วยระบบปืนใหญ่ลากจูงและปืนใหญ่อัตราจร รวมถึงปืนใหญ่ขนาด 105 มม. 122 มม. 130 มม. 152 มม. และ 155 155 141, และ 3 ประเภท C หมายถึง รถหุ้มเกราะ โดยเฉพาะรถถัง ที่ออกแบบมาเพื่อให้มีการเคลื่อนที่ที่ได้รับการปกป้อง อำนาจการยิงที่เหนือกว่า และกำลังสนับสนุนโดยตรง
ถ้าบิดเบือนถือว่า”ไม่จริงใจ”
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ที่จะเคารพซึ่งกันและกัน และปฏิบัติตามผลการประชุม GBC ไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 และหลักการในถ้อยแถลงที่ได้ร่วมลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 อย่างเคร่งครัด เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการถอนอาวุธทั้งสามประเภท (ประเภท A ประเภท B และประเภท C) โดยแบ่งเป็นระยะ ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบของ AOT ตามแผนปฏิบัติการ
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะอำนวยความสะดวกการตรวจสอบ จัดทำเอกสาร และสังเกตการณ์ของ AOT ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะออกแถลงข่าวเพื่อรายงานความคืบหน้าและการตรวจสอบ กระบวนการถอนอาวุธ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า หากฝ่ายใดปกปิดหรือบิดเบือนจำนวนหรือประเภทของอาวุธ ถือว่า การกระทำดังกล่าวสื่อถึงความไม่จริงใจในการคืนสูสภาวะปกติ เสถียรภาพ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
การถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 - 21 พ.ย.68 ภายใต้การสังเกตการณ์ และตรวจสอบของ AOT การประชุมฝ่ายเลขานุการ RBC เพื่อวางแผนและดำเนินการสำหรับระยะที่ 2 จะจัดขึ้นวันที่ 15 พ.ย.68 ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบของ AOT
โดยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 2 (ประเภท B) จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. - 12 ธ.ค. 68 ภายใต้การสังเกตการณ์และ ตรวจสอบของ AOT การประชุมฝ่ายเลขานุการ RBC เพื่อวางแผนและดำเนินการระยะที่ 3 จะจัดขึ้นในวันทีทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันต่อไป ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบของ AOT
ผู้สังเกตุการดูแลใกล้ชิด
โดยการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที 13 - 31 ธันวาคม 2568 ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบของ AOTการประชุมฝ้ายเลขานุการ RBC อาจจัดผ่านระบบออนไลน์หรือในสถานที่ร่วมกัน ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลง ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบของ AOT เพื่อให้เกิด การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ การปรึกษาหารืออย่างทันท่วงที และการดำเนินการถอนอาวุธและตรวจสอบที่มีประสิทธิผล
กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนตั้งอยู่บนพื้นฐานของอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความเชื่อใจระหว่างกันและเสถียรภาพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างยั่งยืน
“บิ๊กดุลย์”ยันถอนอาวุธแน่
พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการหารือกับกัมพูชาว่า กองทัพภาคที่ 2 ของไทยได้เดินทางไปพูดคุยกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้ ในกรอบของรัฐบาล ซึ่งกองทัพบก มอบให้กองทัพภาคที่ 2 หารือ 4 ประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการขนย้ายอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งจะดำเนินการเป็น 3 เฟส เริ่มจากการถอนอาวุธประเภทจรวดและปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรขึ้นไป ภายในระยะเวลา 21 วัน โดยจะมีคณะผู้แทน AOT ไปตรวจสอบว่าทําตามข้อตกลงหรือไม่ และหากดําเนินการแล้วจะมีรายละเอียดออกมาทั้งหมดว่าได้ถอนอะไรไปแล้วบ้าง และอยากให้เชื่อมั่นว่าทหารก็ทําตามนี้ หากไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร
เมื่อถามว่า ประชาชนไม่ได้ไม่เชื่อมั่นทหารไทย แต่ไม่เชื่อมั่นฝ่ายกัมพูชา พลท.อดุลย์ กล่าวว่า ต้องเชื่อ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะคุยกัน ตนยืนยันได้เลยว่าถ้าคุยกันในระดับนี้แล้ว หากไม่ทําก็ไม่มีทางอื่น
ส่วนหากฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามจะดําเนินการอย่างไรนั้น พล.ท.อดุลย์ กล่าวว่า ให้คอยดู ตนก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อคุยกันในระดับรัฐบาล ลงไปถึงระดับแม่ทัพภาค ในการกําหนดขั้นตอนการถอนอาวุธ ที่มีอานุภาพร้ายแรงสูง ส่วนเฟสที่ 2 จะเป็นการถอนอาวุธที่มีอานุภาพลดหลั่นลงมา และเฟสที่ 3 จะครอบคลุมถึงการถอนรถถัง ซึ่งจำนวนและขั้นตอนกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับแม่ทัพภาคที่ 2
พล.ท.อดุลย์ ยืนยันด้วยว่า ไม่มีการเปิดด่านแน่นอน ไม่ต้องกลัว หลังจากการถอนอาวุธแล้วทั้งสองฝ่ายจะต้องประเมินร่วมกันอีกครั้งว่า ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันได้สิ้นสุดลงจริงหรือไม่ เพื่อก้าวสู่ความร่วมมือและสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน
ส่วนของกําลังทหาร จะปรับลดลงไปด้วยหรือไม่ พล.ท.อดุลย์ กล่าวว่า อาวุธจะมีพลประจําปืน หากถอนอาวุธก็ต้องปรับลดคนไปด้วย ก็ไปพร้อมกัน แต่ไม่เกี่ยวกับกําลังรบหลักทหารม้าหรือทหารราบ ส่วนการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ มีขั้นตอน การจัดเก็บ ซึ่งการขนย้ายก็ต้องอิงกับระเบียบราชการ ไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าไปแอบ ต้องมีการจ้างเหมา ถ้ามีรถอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าเกินไปจากนี้ ก็ต้องจ้างของเอกชนเข้ามา
เมื่อถามว่ากองทัพรับศึกหลายด้านนอกจาก ต่างประเทศแล้วยังมีภายในประเทศด้วย พล.ทงอดุลย์ กล่าวว่า อาชีพ ทหารมีกรรม
ฉก.นย.ตราดเตรียมยึดพื้นที่บ้าน 3 หลัง
ด้าน น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านบ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ซึ่งเป็นบริเวณบ้าน 3 หลัง ที่กัมพูชาเข้ามาบุกรุกพื้นที่จังหวัดตราดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โดยยืนยันว่า การตรึงกำลังในพื้นที่บ้าน 3 หลัง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงถอนกำลังและอาวุธหลักตามที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามล่าสุด เนื่องจากพื้นที่บ้าน 3 หลัง เป็นกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายอมรับว่ามีการบุกรุกเข้ามาจริง แต่เมื่อหน่วยฯ เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกไป ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอมและยืนยันต้องทำตามคำสั่งรัฐบาลที่จะต้องมีการชี้แนวเขตแดนก่อน
ทางด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สถานการไทย-กัมพูชา มีแนวโน้มดีขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี