วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 นายสุรวิชช์ วีรวรรณ คอลัมนิสต์ประจำเครือผู้จัดการ คนสนิทนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้โพสต์เฟสบุ๊ค กรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร ส่งดอกไม้อวยพรวันคล้ายวันเกิดนายสนธิ ว่า
#เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยมาคารวะสนธิ
สนธิ ลิ้มทองกุล คือสื่อมวลชนอาวุโสผู้ผันตัวจากการถือไมค์สู่การถือธงประชาชน ในห้วงเวลาที่ระบอบทักษิณรุ่งเรืองที่สุด เขาคือคนที่กล้าออกมายืนตรงข้ามอำนาจทางการเมือง และเป็นผู้นำมวลชนที่มีบทบาทสูงสุดในยุคนั้น
แต่แม้จะยืนตรงข้ามกับทักษิณ สนธิในฐานะสื่อมวลชนไม่เคยหยุดวิพากษ์ตรวจสอบรัฐบาลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประยุทธ์ หรือพรรคเพื่อไทยในยุคต่าง ๆ
เขาไม่ใช่สื่อที่หลับหูหลับตาด่าทุกเรื่อง แต่ใช้เหตุผลและความรับผิดชอบในฐานะสื่ออาชีพ หากรัฐบาลทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็กล้าชื่นชม เช่นเดียวกับกรณีพรรคส้มที่มีจุดยืนต่างกันสุดขั้วในเรื่องสถาบันกษัตริย์ สนธิยังสามารถยอมรับผลงานในบางด้านได้ โดยไม่ละทิ้งอุดมการณ์หลักของตน
นี่คือจุดยืนของสื่อในวัย 78 ปี ที่เข้าใจว่า “การวิพากษ์ไม่ใช่ความเกลียด” และ “การเห็นต่างไม่ใช่ศัตรู”
ดังนั้น เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยรุ่นใหม่ นำโดยจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ถือช่อดอกไม้ของแพทองธารมาอวยพรวันเกิดสนธิ การที่เจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับอย่างสุภาพ จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องตาม “มารยาททางสังคม”
แม้ในวันนั้นผมจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย เพราะมีภารกิจต้องออกไปข้างนอกก่อน แต่ก็เชื่ออย่างมั่นใจว่า สนธิจะต้องพูดกับแกนนำรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพื่อแนะนำสิ่งที่ควรทำให้ประเทศชาติในทางที่ถูกต้อง พร้อมบอกในสิ่งที่สื่ออาวุโสผู้ผ่านโลกมากว่าครึ่งศตวรรษเท่านั้นที่กล้าพูดได้
ในความหมายเชิงวิชาการ “มารยาททางสังคม” หมายถึง พฤติกรรมที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม (social norm) ซึ่งสะท้อนความเคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้อื่น
ในเชิง จริยศาสตร์สังคม มารยาทจึงไม่ใช่เพียงกิริยา แต่คือ “การเคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น”
เมื่ออีกฝ่ายมาในฐานะแขก ถือช่อดอกไม้มาอวยพรวันเกิด เจ้าของบ้านย่อมต้องให้เกียรติ ไม่ใช่ขับไล่หรือเย้ยหยัน เพราะการทำเช่นนั้นถือเป็นการละเมิดบรรทัดฐานของสังคม
มารยาทในสถานการณ์แบบนี้ จึงไม่ใช่ “เรื่องเล็กของพิธีการ” แต่เป็น รากของวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย ที่แม้จะต่างขั้ว ต่างความคิด ก็ยังรู้จักให้เกียรติในวาระที่เป็นเรื่องดีงาม
ตรงกันข้าม กลับมีบางกลุ่มนำภาพนั้นมาแขวนค่อนแคะ เย้ยหยันโจมตี ทั้งที่พรรคที่พวกเขาเชียร์เองก็เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาแล้ว
นี่คือ “อคติที่บดบังเหตุผล” และสะท้อนว่าสังคมเรากำลังขาดสิ่งที่เรียกว่า Political Etiquette หรือมารยาททางการเมือง
คนที่มีวุฒิภาวะย่อมรู้ว่า แม้จะเห็นต่างก็ยังจับมือกันได้ในโอกาสที่เหมาะสม เหมือนที่อนุทิน ชาญวีรกุล จับมือกับฮุน มาเนต ชาติที่เป็นศัตรูต่อกัน
สังคมที่ดีไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทั้งหมด แต่ต้องมี “พื้นฐานของความสุภาพและการให้เกียรติ” เป็นรากของการอยู่ร่วม
มารยาทก็เปรียบเหมือน “ประตูบ้าน” #ไม่ว่าคุณจะเห็นต่างเพียงใด ถ้ามีคนถือช่อดอกไม้มายืนอยู่หน้าประตูด้วยความจริงใจ
เจ้าของบ้านที่ดีจะเปิดประตูรับ ไม่ใช่ปิดใส่หน้า
นี่แหละ…ความแตกต่างระหว่าง “อคติของคนคับแคบ” กับ “มารยาทของผู้มีวุฒิภาวะ” ที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ให้ชัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี