วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กมธ.พิทักษ์และเทิดทูนสถาบันฯ สว.’ถกแผนงานรับปีงบฯ69 ปลูกฝังรักสถาบันตั้งแต่'อนุบาล' หลังถูกการเมืองเซาะทำลายห่วงยืนเคารพในโรงหนัง ตั้งเป้ารณรงค์เข้มปีนี้ ด้าน'หม่อมปนัดดา'เหน็บแรงพวกอวดเก่ง แต่ขาดประสบการณ์ชีวิตอย่ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่บ้านเมืองหวงแหนรักษา ซัดมีพวกผิดมารยาทครอบงำ-ล้างสมองเด็ก ฝาก กมธ.แก้ปัญหายืนในโรงหนัง หวั่นเท่ากับลบหลู่ชาติตัวเอง
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์วุฒิสภา จัดโครงการสัมมนาเรื่องการนำเสนอแผนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมาธิการ ใน กมธ.ฯ ประจำปี 2569 ประกอบด้วยคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและเสนอแนะแนวทางด้านการสื่อสารในการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ และคณะอนุกรรมาธิการศึกษาติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย กมธ.ฯ อนุกมธ. คณะที่ปรึกษา กมธ. ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดยพล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธาน กมธ.ฯ กล่าวเปิดการสัมมนา ว่า ตนมีความยินดีและคิดว่าการที่เราได้มาร่วมกันในวันนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดในการนำเสนอแผนการดำเนินงานของคณะอนุฯ ทั้ง 3 คณะที่ดำเนินงานใน กมธ. ก่อนเข้าสู่การสัมมนาในวันนี้ตนขอกล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายให้ประชาชนจำนวนมาก ตนขอส่งกำลังใจไปยังทุกครอบครัว และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรืออาสาสมัครที่เร่งช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญอยากให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด การพระราชทานแนวทางช่วยเหลือประชาชน ตั้งแต่การเตรียมพร้อมรับมือ การดูแลผู้ประสบภัยตลอดจนการฟื้นฟูหลังน้ำลด ถ้า กมธ.ของเรา รวมทั้ง 3 อนุฯ ได้นำแนวทางต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ในการปฏิบัติงานก็จะทำให้งานของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า การสัมมนาครั้งนี้ วัตถุประสงค์ของเราหลักๆ ตนต้องการ 2 ประการ ประการแรกคือเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งหลายท่านอาจมองว่าช้าเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามเราได้เตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้วจนมาถึงการสัมมนาในวันนี้ ในเรื่องการทำงานในปีงบประมาณ 69 อยากได้ ใน 2 เรื่องคือเราจะต้องทบทวนตัวเอง 1 ปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรบ้าง สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือไม่ และตัวชี้วัดเป็นอย่างไร เราใช้งบประมาณในการดำเนินการแต่ละปีไม่น้อย เรามีผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการอย่างไร ซึ่งจะได้พูดคุยกันต่อไป นอกจากการมองการทำงานที่ผ่านมาใน 1 ปีแล้ว ที่สำคัญคือการมองไปข้างหน้า ปีงบประมาณ 2569 ทั้งปีเราจะทำอะไรกันบ้าง
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวว่า ประการที่สองที่ตนต้องการก็คือ ตนให้ความสำคัญ เคารพ และชื่นชม ผู้ที่อยู่ในวงงานทุกท่านไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะอนุฯ ที่ปรึกษาอนุฯ ที่มาร่วมงานวันนี้ ในการทำงานของเรา ตนบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ช่วยเราได้มาก ไม่ใช่ กมธ.เราไร้ความสามารถ แต่ด้วยภารกิจงานโดยเฉพาะใน กมธ.ชุดนี้ ซึ่งมีภารกิจอื่นด้วย คณะทำงานจึงมีความสำคัญ ทั้งนี้ตนให้ความสำคัญกับการสื่อสาร เรามี 3 อนุฯ การสื่อสารในการพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน และการเร่งรัดมาตรการในการพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน ตนให้เป็นการดำเนินการตามเดิมทั้งหมด ซึ่งคณะกมธ.ในชุดที่ผ่านมาทำไว้ดีแล้ว ก็ให้ดำเนินการตามนั้นไป โดยเน้นย้ำในเรื่องการสื่อสารมากขึ้น
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในปัจจุบันสถาบันฯ ถูกกัดเซาะบ่อนทำลาย ซึ่งเราทราบดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ระดับอุดมศึกษาลงมาจนถึงมัธยมศึกษา ตนพูดแค่นี้พวกเราคงนึกออกว่ามันคืออะไร ดังนั้นตนอยากให้ทำตั้งแต่ระดับอนุบาลขึ้นไป ซึ่งตนมองเหมือนผ้าขาว ตนเป็นเด็กบ้านนอก ซึ่งเราอาจจะอายที่จะไหว้พ่อแม่ แต่เมื่อเข้าโรงเรียนครูบอกให้ไหว้ก็ไหว้ สามารถที่ดัดไปทางไหนก็ได้ เช่นเดียวกันในการที่จะรักษาพิทักษ์เทิดทูนสถาบันฯ ให้ไว้ได้ยืนยาวมันต้องเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ระดับมัธยม ถึงมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่ตนมั่นใจว่าเราต้องเริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์แรกโดยครูอนุบาลต้องเป็นตัวหลัก เสาหลัก เข้าห้องเรียนทุกคนต้องยกมือไหว้ในหลวง ราชินี เป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องปลูกฝัง อะไรเล็กๆ น้อยๆ ตามวัย พอถึงระดับประถม มัธยม ก็ให้รู้มากขึ้นในเรื่องอื่นๆ
พล.อ.สวัสดิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามปีที่แล้วทั้งปีตนไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่อยากได้ ปีนี้ยังตั้งเป้าให้สมปรารถนา ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องการยืนเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ในโรงภาพยนตร์ ตนพยายามจะทำให้ดีที่สุดแต่ปีที่แล้วทั้งปีไม่มีความคืบหน้า ในหลายๆ เรื่องที่อยากจะทำไม่มีความคืบหน้า แต่เป็นเรื่องโชคดีที่คณะทำงานต่างๆ ช่วยกัน ทั้งนี้เราจะมีการประเมินผลตัวเอง ปีนี้ความชัดเจนอยากให้เพิ่มมากขึ้นตรงนี้ สำหรับที่ปรึกษาหรือคนในวงการที่มาช่วยงานต้องขอบคุณท่านมาด้วยใจและมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ภารกิจของกมธ.สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
ขณะที่มล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษากมธ.ฯ กล่าวว่าบรรยายในหัวข้อ “บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจ ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย” ตอนหนึ่งโดยได้เปิดคลิปสั้นรายการโทรทัศน์ ในชื่อเรื่อง “แม่ฟ้าแห่งแผ่นดิน” ซึ่งเป็นรายการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นด้วยกับคลิปดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมล.ปนัดดา กล่าวว่า คลิปดังกล่าวมียอดคนเข้าชมและเห็นด้วยจำนวนมาก ดังนั้นไม่ต้องคำนึงอะไรมากคนที่จะมาปรับเปลี่ยนประเพณีของชาติบ้านเมืองทำเป็นอวดเก่ง รู้ดี ตนคิดว่าบุคคลเหล่านี้ขาดประสบการณ์ชีวิต อยากเรียนว่าไม่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ชาติบ้านเมืองเขาทะนุถนอมหวงแหนรักษามา จรรโลงมา จนประเทศไทยเป็นประเทศไทยมาได้ตราบจนวันนี้ คงไม่ต้องมาพึ่งใครที่เพิ่งมาเกิดในรุ่นหลัง แล้วก็อวดเก่งเหลือเกิน ไอ้โน่นฉันก็จะทำ ไอ้นี่ฉันก็จะคิด แล้วอะไรที่เป็นวันเก่าๆ เป็นเรื่องเชยล้าสมัย
มล.ปนัดดา กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือวันนี้และวันข้างหน้า ซึ่งตามจริงแล้วท่านก็ทราบว่าตามหลักปรัชญาของตะวันตกหรือตะวันออกก็ดี เขาพูดว่าเรามีวันนี้ได้ก็ด้วยอดีตด้วยวันวาน ที่บุพการีชน บรรพชนได้สั่งสม และสร้างแบบอย่างไว้ให้ชาติประเทศเกิดความสำเร็จบริบูรณ์เรียบร้อยได้ในวันนี้ก็ด้วยวันวาน ดังนั้นวันนี้ก็ใช้หลักคิด นวัตกรรมเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าให้เราร่วมกับสืบสาน รักษา และต่อยอดก็คือความหมายว่า ครู อาจารย์ บุพการี องค์พระมหากษัตริยาธิราช บุคคลต่างๆ ที่มีพระคุณต่อบ้านเมืองไทย สั่งสอนเราไว้สั่งสมเป็นแบบอย่างไว้ เราจึงมีหน้าที่สืบสาน รักษาให้ดำรงอยู่ และใช้ความรู้ ความคิด เข้าใจ นวัตกรรมต่างๆเข้ามาผสมผสานพัฒนาไปสู่ข้างหน้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก
“นี่เล่นพูดว่าอดีตไม่สำคัญ และมาเน้นกับความคิดของคนรุ่นใหม่ และท่านก็อ้างถึงบุคคลต่างๆ ในคณะผู้ก่อการ2475 โดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทัน คุณพ่อ คุณแม่ท่านก็ไม่รู้จัก ผมในฐานะวิทยากรในวันนี้ผมยังรู้จัก ผมยังทันท่านด้วยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงศ์ ซึ่งเคารพสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พูดกับผมเองในช่วงบั้นปลายชีวิตท่าน บอกคุณปนัดดาก็ทราบ ตอนนั้นจบกันมาจากเมืองนอกเมืองนา ความคิดร้อนแรงกัน อยากจะปรับโน่นเปลี่ยนนี่ก็เลยกลายเป็นชิงสุกก่อนห่าม เคยรู้เรื่องกันไหมนี่ คนที่พูดจาไปเที่ยวครอบงำความคิดเด็กๆ อยากจะใช้คำว่าล้างสมอง แต่ใช้คำว่าครอบงำ เด็กเกิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนทั้งๆ ที่ตนเองไม่เคยรู้จัก โถ แล้วไปซื้อบ้านท่านที่ฝรั่งเศส ที่ปารีส คือแอบอ้าง ไม่ดีหรอกครับทำอะไรเช่นนี้ เขาเรียกว่าผิดมารยาท ตามหลักการที่คนไทยเชื่อมั่นและยึดถือกันมานานท่านๆ ผู้มีเกียรติสบายใจได้ ผมจะไม่เอ่ยชื่อใครในเชิงตำหนิ ติเตือน ผมจะพูดลอยๆ แบบนี้ เพราะว่าท่านผู้บังคับบัญชาผมที่กระทรวงมหาดไทย สอนสั่งผมตั้งแต่เด็ก ถึงการพูดในที่สาธารณะ เราทำอย่างนักการเมืองไม่ได้ที่จะใช้ถ้อยคำรุนแรงว่ากล่าวคนโน้นคนนี้ แล้วก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง ” มล.ปนัดดากล่าว
มล.ปนัดดา กล่าวต่อว่า ภาพที่นำเสนอในวันนี้คือภาพแห่งความสำนึกและความคิดถึงอย่างสุดพรรณนาที่มีต่อพระองค์ท่าน แต่หลายท่านรวมทั้งคนในรุ่นปัจจุบันไม่พูดถึงเลย ไม่รู้ว่าเอาความเข้าใจ ความคิด หรือความรู้ต่างๆเหล่านี้ไปฝากไว้กับใคร หรือแกล้งทำเป็นลืม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 หลายท่านทราบดี เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่2 สิ้นสุดลง เพื่อฟื้นฟูสถานภาพของประเทศไทย ศักยภาพของเราซึ่งเคยมีความโดดเด่นเป็นสง่ามาตั้งแต่อดีตกาลโดยเฉพาะสมัย ร. 4 ร.5 ที่รักษาชาติบ้านเมืองมา แต่คนรุ่นใหม่ลืมไปได้อย่างไร ละเลยไปได้อย่างไร กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ต้องย้ำกับเด็ก แต่ตอนนี้จะมาปลูกฝังเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่จริงมันต้องเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยจิตสำนึกของลูกหลานและประชาชนที่จะมีความเข้าใจโดยธรรมชาติ
มล.ปนัดดา กล่าวว่า ตอนนี้เหมือนเรามาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ เราก็ทราบว่าในช่วงหนึ่งของบริบททางการเมืองไปล้มเลิกการศึกษาวิชาสำคัญๆ ของเรา เช่น หน้าที่พลเมือง ที่พึงจะต้องกระทำ ซึ่งข้อนี้จะอิงกับกฎหมายจารีตประเพณี ซึ่งเรามีกฎหมายหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนต้องเคารพและปฏิบัติ ตอนนี้ขนาดพูดกันบอกว่าที่ไม่ยืนโรงภาพยนตร์ ทางการไม่มีสิทธิ์ไปบังคับ ให้ยืนกันด้วยความสมัครใจ ท่านต้องไปฟังคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ซึ่งมีหลายท่านที่ตนยังติดต่ออยู่ เขาบอกไม่เข้าใจว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและเขาก็ทราบข่าวเรื่องความมั่นคง เขาทราบรายะละเอียด มีการยุยง ครอบงำเด็ก ซื้อตั๋วฟรี ให้เด็กดูหนังในโรงภาพยนตร์ยังไม่พอ เลี้ยงขนม เข้าร้านอาหาร อย่าไปเอ่ยชื่อร้านอาหารผิดมารยาทแย่เลย เรียกว่าเป็นโครงการที่ตนพูดมาตั้งแต่ กมธ.ฯ ชุดที่แล้ว มาจนถึงชุดนี้ เรื่องนี้ท่านโทษใคร โทษการเมือง ข้าราชการบางหน่วยงานก็ยังเคร่งครัดเข้มงวด ซึ่งตนชื่นชมมาก แต่หลายหน่วยก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยปละ ละเลย ในสิ่งซึ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศชาติ ขนาดคณะทูตพูดแล้วคนไทยไม่รู้สึกก็คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว เรื่องการไม่ยืนในโรงหนังจึงน่าจะสอดแทรกเข้าไปในอนุฯ กมธ.ให้พิจารณาดำเนินการในปีงบ 69 ทั้งเชิงรับและเชิงรุกด้วย
“ขอฝากทุกท่านอย่าลืมเรื่องโรงภาพยนตร์ มันเหมือนเราประณามตัวเอง ดูถูกประเทศตัวเอง คนไม่ค่อยคิด คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่ยืน ฉันไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่คนไม่คิดว่านั่นคือการลบหลู่ดูหมิ่นประเทศชาติตนเอง ละเลยซึ่งหน้าที่พลเมือง ที่ควรจะเป็น”มล.ปนัดดา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี