วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร
33 เขต 33 เก้าอี้ กำลังถูกจับตาในฐานะสนามชี้ขาดของการเลือกตั้งปี 2569
เพราะนี่คือพื้นที่ที่เคยเป็น “ฐานทองคำ”
ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งสามารถกวาด สส.เขตในกรุงเทพฯ ได้ถึง 32 จาก 33 ที่นั่ง
ฐานเสียงดังกล่าว ต่อเนื่องมาถึงพรรคประชาชน หรือที่เรียกกันทั่วไปในสนามการเมืองว่า พรรคส้ม
ชัยชนะถล่มทลายในครั้งนั้นทำให้กรุงเทพฯ ถูกมองว่าเป็นพื้นที่แข็งแรงที่สุดของพรรคส้ม และมักถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการประเมินศึกเลือกตั้งปี 2569
แต่สนาม กทม. รอบนี้ ไม่ใช่สนามเดียวกับเมื่อสามปีก่อน
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดสะท้อนภาพที่ต่างออกไป เมื่อคนกรุงเทพฯ จำนวนมาก ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคการเมืองใดและยังไม่เลือกว่าจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี
คำตอบ “ยังไม่เลือกใคร” ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในคำถามเรื่องพรรค
และตัวบุคคลที่จะเป็นผู้นำประเทศ
ตัวเลขนี้หมายความชัดเจนว่าคนกรุงเทพฯ เกือบครึ่งยังไม่ให้ความไว้วางใจกับตัวเลือกใดเลย
ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศก่อนเลือกตั้งปี 2566 ที่ฐานเสียงของพรรคก้าวไกลในกรุงเทพฯ ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นกลาง คนรุ่นใหม่ และผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองชั้นใน เริ่มตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน จากปัจจัยทางการเมืองในช่วงท้ายของการหาเสียง
ความลังเลในระดับนี้ จึงสะท้อนว่าฐานเสียงกลุ่มเดิมที่เคยหนุนพรรคส้มในกรุงเทพฯไม่ได้รวมตัวแน่นเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน
ปี 66 กระแสมาเร็ว ทิศทางชัด อานิสงส์จากบรรยากาศทางการเมืองในเวลานั้น ช่วยเร่งการตัดสินใจของผู้เลือกตั้งช่วงปลายทาง
แต่ในปี 2569 สนามกลับนิ่ง ความลังเลสูง และเปิดพื้นที่ให้ทุกพรรค เข้ามาแข่งขันได้ตลอดเส้นทาง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เกิดจากพรรคส้มเพียงฝ่ายเดียว แต่สัมพันธ์กับการเมืองระดับประเทศ ที่ขยับแกนความสนใจของสังคม ออกจากเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ไปสู่ประเด็นที่จับต้องได้มากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือ ความมั่นคง โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ติดตามอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นชายแดน ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงข่าวความมั่นคง แต่ถูกนำมาใช้ประเมินภาวะผู้นำ ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ
และการใช้อำนาจรัฐภายใต้แรงกดดันจากภายนอก
เกณฑ์การพิจารณาของผู้เลือกตั้งเมืองหลวงจำนวนไม่น้อย จึงขยับจากคำถามว่าใครเสนอการเปลี่ยนแปลง ไปสู่คำถามว่าใครควบคุมสถานการณ์ได้
บริบทเช่นนี้ ไม่ได้หนุนพรรคส้ม ในแบบเดียวกับการเลือกตั้งปี 2566 และทำให้การแข่งขันในกรุงเทพฯ ไม่ผูกติดอยู่กับปัจจัยเดิมเหมือนครั้งก่อน
ผลโพลยังสะท้อนอีกประเด็นหนึ่ง คือช่องว่างระหว่าง ความนิยมของพรรคส้ม กับความนิยมของผู้นำพรรค
อิทธิพลเชิงตัวบุคคล ไม่ได้ช่วยเร่งการตัดสินใจ เหมือนช่วงที่พรรคก้าวไกลชนะถล่มทลายในปี 66 และนั่นทำให้การรักษา 32 เขตเดิม กลายเป็นภารกิจที่ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อปัจจัยหนุนเดิมอ่อนลง สนาม กทม. จึงเปิดช่องให้พรรคอื่น เข้ามาแย่งพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น
หนึ่งในพรรคที่ขยับตัวชัดคือ พรรคภูมิใจไทย
ในอดีต ภูมิใจไทยไม่ใช่พรรคของคนกรุงเทพฯ การเลือกตั้งปี 2566 ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ใน กทม. เพียง 28,528 คะแนน และไม่ได้ สส.เขตแม้แต่ที่นั่งเดียว
แต่การเลือกตั้งรอบนี้ ภูมิใจไทยปรับการสื่อสารใหม่
ด้านหนึ่งคือภาพของ “อนุทิน ชาญวีรกูล”
ในฐานะผู้นำที่สื่อสารชัดเรื่องความมั่นคง
และบทบาทของอำนาจรัฐในสถานการณ์ชายแดน
อีกด้านหนึ่งคือการเสริมภาพความเป็นมืออาชีพ เพื่อเข้าถึงชนชั้นกลางในเมืองหลวง
ชื่อของ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” จึงถูกวางบทบาทในฐานะเทคโนแครต ผู้มีประสบการณ์บริหาร และเป็นภาพแทนด้านเศรษฐกิจและการจัดการ
บทบาทนี้ ไม่ได้มาแทนภาพผู้นำด้านความมั่นคงของอนุทิน แต่ทำหน้าที่เสริมให้ภูมิใจไทย มีทั้งมิติอำนาจรัฐ และมิติความเป็นมืออาชีพ ในสายตาคนกรุงเทพฯ
ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ ก็กลับมาอยู่ในสมการของสนาม กทม.
การมีบทบาทของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
ช่วยรั้งฐานเสียงอนุรักษ์นิยมในเมือง
ซึ่งกำลังมองหาทางเลือกใหม่ หลังไม่มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจุดรวมความรู้สึกทางการเมืองเหมือนในอดีต
ประชาธิปัตย์อาจไม่กลับไปมีอิทธิพลเท่าเดิม แต่ในสนามที่ความลังเลสูง เพียงการดึงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ หรือแทรกชนะในบางเขต ก็เพียงพอจะเปลี่ยนสมดุลของกรุงเทพฯ ได้
ส่วนพรรคเพื่อไทย แม้การเลือกตั้งปี 2566 จะได้ สส.กทม. เพียง 1 เขต แต่ก็ไม่อาจถูกตัดออกจากสมการ
เพราะก่อนหน้าปี 66 การเมืองเมืองหลวง
คือการแข่งขันระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์มาโดยตลอด
การเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่าง “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” จึงเป็นการทดสอบว่า “แบรนด์ชินวัตร” ยังตอบโจทย์ผู้เลือกตั้งกรุงเทพฯ ได้เพียงใด
คำตอบในสนามเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นเส้นทางที่ไปได้ยาก และมีเพดานชัดในกลุ่มชนชั้นกลางบางส่วน
เมื่อทุกพรรคถูกวางอยู่ในภาพเดียวกัน
สนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ ปี 2569 จึงไม่ใช่สนามที่พรรคส้ม จะตั้งต้นจากความได้เปรียบเดิมได้อีก
ปัจจัยเดิมอ่อนลง ตัวเลือกเพิ่มขึ้น และความลังเลของผู้เลือกตั้ง กลายเป็นตัวแปรหลักของการแข่งขัน
ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ พรรคส้มมีโอกาสสูงมากที่จะได้ สส.กรุงเทพฯ น้อยกว่าการเลือกตั้งปี 66
ในสนามเมืองหลวง ที่ทุกพรรคต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่พร้อมกัน.
ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี