ด้วยความเห็นแก่ตัว ความไม่ตรงไปตรงมา และไม่กล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรม แท้ๆ เทียว ทำให้ “ความเสื่อม”บังเกิดแก่ “นายไชยบูลย์ สุทธิผล” หรือ “ธัมมชโย” ชนิดที่ “หมดโอกาส” จะหวนกลับสู่ “ความยิ่งใหญ่” อย่างที่เคยมี เว้นเสียแต่จะเลือก “โอกาสสุดท้าย” เข้ามอบตัว แล้วสู้คดีตามหมายจับจำนวนมาก โดยไม่ต้อง “ยึดติด” หรือ “ห่วงพะวง” กับอะไร
แต่ก็นั่นแหละ บุคคลผู้ใฝ่จะเป็น “ต้นธาตุต้นธรรม” กลับหาได้แสดงความ “มีธรรม” ออกมาไม่
มีแต่ความยึดติดผิดหลง ชะตากรรมของเขา จึงถึงกลวิบัติด้วยตัวของเขาเอง
ดังนั้น มาดู “ปัจจุบันและอนาคต” ของไชยบูลย์กันหน่อย มิใช่เพื่อจะซ้ำเติมหรือเย้ยหยันแต่อย่างใด หากเพื่อความเข้าใจต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น
1) ปัจจุบัน นายไชยบูลย์ เป็นผู้ต้องหา ตามหมายจับคดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร / รุกป่า นครราชสีมา / รุกป่า จังหวัดเลย / รุกป่า เกาะยาวน้อย พังงา และหมายจับอื่นๆ อีกหลายใบ นั่นแปลว่า เขาคือบุคคลที่กฎหมายต้องการตัว ซึ่งหากไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด ก็ยัง “เป็นภัย” ต่อผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการหลบหนีการจับกุม และปกปิด ซ่อนเร้น ให้ที่พักพิงอีกต่างหากด้วย นี่คือสถานภาพที่ไม่เพียงนำความลำบากมาให้ตัวเอง แต่ยังลำบากไปถึงคนที่จะช่วยเหลือเขาด้วย
2) แต่ก็ไม่ต้องเที่ยวไปโทษใครต่อใครเขาหรอกนะครับ สถานการณ์มัน “เลวร้ายลง” เรื่อยๆ ก็เพราะการเลือกที่จะไม่มาพบเจ้าหน้าที่ตามหมายเรียก ก่อนจะพัฒนามาเป็นหมายจับ เข้าตรวจค้นวัด และต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนอยู่อย่างตอนนี้ ถามว่า
ไชยบูลย์ไม่มีเงิน ไม่มีทนายพอที่จะ “สู้คดี” นี้ได้หรอกหรือ ไม่ใช่เลย จึงต้องสงสัยว่า สิ่งที่เขา ไม่มี” จนเป็นเหตุให้ไม่ยอมเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อต่อสู้ก็คือ “ความสุจริต” ละกระมัง แม้กระทั่งอาการป่วย ก็ยังใช้ “ใบรับรองแพทย์เก๊” มายืนยันเลย เป็นคนธรรมดาก็ว่าเลวร้ายแล้วนี่เรียกตัวเอง แสดงตนเองต่อสาธารณะว่าเป็น “พระ” ยังกระทำการที่ไม่ตรงไปตรงมา เป็นเท็จ ได้ถึงขนาดนี้
3) ไชยบูลย์จะเล่นซ่อนแอบจนหมดอายุความได้ไหม? ได้ครับ อายุความ คือ 15 ปี หนีหัวซุกหัวซุนไปสิ ปัจจุบันอายุ 72 ปี หากหนีได้จนหมดอายุความ ก็ปาเข้าไป 87 ปี อาการที่สืบเนื่องจาก “เบาหวาน” จน “ตีนดำ” อยู่ตอนนี้จะยังเหลือไหม? หากตำรวจ ดีเอสไอ ตามประกบหมอ มือนวด และโยมโค้ก-ที่ว่ากันว่า “ใกล้ชิดมาก” ให้ดีๆ อาจจะเจอในไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ก็ได้ และที่เขาใช้ยุทธวิธีที่ปิดล้อม สกัดกั้น การได้หมอ ได้เครื่องมือแพทย์ในทุกวันนี้ คือ บีบให้มามอบตัวอยู่กลายๆ ไม่มาก็ช่วยไม่ได้ หลบๆ ซ่อนๆ หาหมอหายาตามประสา “ผู้ต้องหา”ต่อไป
4) ผู้สนับสนุน คนใกล้ชิด ผู้ร่วมสมประโยชน์ และตัวไชยบูลย์เอง ควรต้อง “ถอดรหัส” การถูกถอดสมณศักดิ์ให้จงดี ว่าสิ่งนี้มิใช่จะเกิดขึ้นบ่อยและโดยง่าย การเกิดขึ้นแล้ว ทั้งกับตนและกับทัตตชีโวนั้น “ส่งสัญญาณ” อะไร ให้รับรู้และสำนึกบ้างไหม ดังนั้น ขณะนี้ธัมมชโยจึงไม่ใช่ “พระเทพญาณมหามุนี” อีกแล้ว แต่เป็นแค่ธัมมชโย ที่ขณะนี้ รอกระบวนการบังคับใช้ “กฎมหาเถรสมาคม” ที่อาจถึงขั้นออกคำสั่งให้สึก พ้นจากความเป็นพระ เพราะทำผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ และ “ไม่มีวัดที่อยู่เป็นหลักแหล่ง” ซึ่งจะช้าหรือเร็ว หรือออกมาอย่างไร ให้จับจ้องไปที่เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดพิชยญาติการาม
5) ในสถานการณ์เช่นนี้ โอกาสที่ไชยบูลย์จะโผล่หัว ปรากฏตัว บัญชาการ และเรี่ยไร คงไม่ง่ายอย่างเดิม ยิ่งหากหลังจากนี้ มีการเลือก “เจ้าอาวาส” รูปใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า “มีหลายคนอยากเป็น” ก็แหม... ญาติโยมออกจะคึกขนาดนั้น เงินทำบุญออกจะมากมายขนาดนั้น ที่กินที่นอนออกจะหรูหราสะดวกสบายขนาดนั้น น่าสนใจว่า จะเกิดการ “แตกคอ” ชิงอำนาจ โอกาส กันเอง ในหมู่คนที่เหลือในวัดพระธรรมกายหรือไม่ ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ จะก้มหัว ศิโรราบกับธัมมชโยอย่างเต็มที่เหมือนแต่ก่อน คงไม่เหมือนเดิม-เท่าเดิมอีกแล้ว
6) มองในแง่บวก บุคลากรจำนวนมากในวัดพระธรรมกาย ต้องมีคนแยกแยะดีชั่ว ถูกผิด และรักวัดนี้มากพอที่จะอาสาเป็นหลักที่จะรักษาวัดไว้ ซึ่งในความเห็นผม ก็ควรรักษาไว้ เพียงทำให้การสอนและคำสอน ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา เลิกกิจกรรมเชิงธุรกิจ ค้าบุญขายสวรรค์ เป็นเยี่ยงอย่างแก่อีกหลายวัดซึ่งก็มีปัญหาเรื่อง “พุทธพาณิชย์” มาก วัดนี้ก็เดินหน้าต่อไปได้ เป็นหัวหมู่ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาไปเสียเลย ชนิดพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เช่นนี้แล้ว หากมีพระผู้นำดีๆ ที่จะดึงวัดออกจากแนวทางเดิมๆ มาเป็นวัดที่สมถะ เรียบง่าย ให้ปัญญา อาศัยสิ่งปลูกสร้างและความพรั่งพร้อมที่มีอยู่ วัดคงไม่เสื่อมทรามล่มสลาย ญาติโยมที่ใฝ่ในธรรมก็ไม่เคว้งคว้าง เข้าวัด ปรับจูนสติปัญญากันเสียใหม่ “ให้เห็นชอบ ประพฤติชอบ” ต้องตามหลักพระศาสนา ก็ดีกว่าวัดที่เต็มไปด้วยกระดูกผีและขี้แมวขี้หมาอีกมากมายในแผ่นดิน
7) หากมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักนายกฯ เอาจริงเอาจัง ชำระสะสางคำสอน การสอน การเรี่ยไร
การยักย้ายถ่ายโอนเงินทำบุญไปเป็นเงินมูลนิธิฯ ทั้งหลายอย่างจริงจัง อาณาจักรธรรมกาย ที่แม้ไม่ถึงกับล่มสลาย แต่ก็ไม่อาจ “เหิมเกริม” เป็นรัฐซ้อนรัฐ หรือสั่งสอนผิดหลักพระพุทธศาสนา แบบไม่เกรงใจใคร เพราะชุบเลี้ยงไว้หมดแล้วอย่างแต่ก่อนได้ง่ายๆยิ่งหากสองผู้บุกเบิกอย่างไชยบูลย์และเผด็จ หลุดจากสมณศักดิ์ และจะหลุดจากความเป็นพระตามมาในไม่ช้า อาณาจักรที่สร้างมา หนีไม่พ้นหลัก “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” ด้วยมือของใคร ก็ของไชยบูลย์เองนั่นแหละ
8) นอกจากนี้ ควรเร่งตรวจสอบบัญชีและทรัพย์สินของวัด ของมูลนิธิให้เร็วที่สุด ก่อนมีการยักย้ายถ่ายโอน แปรรูปไปเป็น
สินทรัพย์อื่นๆ อย่าลืมว่า ไชยบูลย์ยังเป็นประธานอยู่อีกหลายมูลนิธิ โดยที่เงินทั้งหมดที่ได้มา อาศัยความเป็น “พระ” เป็น “วัด” เป็นพระพุทธศาสนาดึงดูดมา ไยปล่อยให้ยักย้ายถ่ายโอนออกมา แล้วซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มิใช่ “ธรณีสงฆ์” มิใช่ “ทรัพย์ของแผ่นดิน-ทรัพย์ของพระศาสนา” ได้อย่างมากมายเช่นนี้ ทำอย่างไรให้ทรัพย์ “เอกชน” ที่ว่านี้ กลับมามีฐานะทรัพย์ของพระศาสนาอย่างที่ควรจะเป็น
9) ไชยบูลย์จะหนีไปต่างประเทศได้ไหม? หนีน่ะ หนีได้ ประเทศไทยไม่ได้มีด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกตารางเมตรในแนวตะเข็บชายแดนเสียหน่อย และต่อให้มีบุคคลผู้มากด้วยทรัพย์และอิทธิพล เช่น “ธัมมชโย” นี้ ไยจะเล็ดลอดออกไปไม่ได้ แต่บังเอิญว่า คดีที่เขามี อยู่ในกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งสิ้น เว้นแต่จะไปอยู่ในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน ทว่าคน “หวงแหนอาณาจักร” อย่างไชยบูลย์นั้น คงไม่ไปไหนไกล ไม่ยอมให้คนที่เดิมเป็นแค่ “ลูกน้อง-บริวาร” เสวยสุขในวัดและทรัพย์อย่างสะดวกง่ายดายเป็นแน่!!
10) อีกทางหนึ่งที่ไชยบูลย์จะพ้นบ่วงกรรมที่กำลังแสดงผลในช่วงเวลานี้ไปได้ก็คือ สิ้นอายุขัย ซึ่งเคยมีหมออย่าง ร.ท. นพ.ชูชัย
พรพัฒนาพันธุ์ แพทย์ผู้รักษาอาการอาพาธธัมมชโย ชี้แจงเมื่อ 27 พ.ค.2559 ว่า ธัมมชโย มีอาการอาพาธเรื้อรังมานานหลายโรค ทั้งอาการหลอดเลือดดำที่ขาอุดตันเรื้อรังและเฉียบพลัน เบาหวาน แผลเรื้อรังที่เท้า ขาซ้ายบวมมาก จำวัดได้น้อย มีอาการอ่อนแอ แพทย์ต้องให้ยาสลายลิ่มเลือดชนิดรุนแรง จึงจำเป็นต้องให้พัก ไม่อยู่ในสภาวะพร้อมให้เคลื่อนย้ายไปไหน เกรงจะมีภาวะแทรกซ้อน บัดนี้แพทย์รายนี้ยังยืนยันอาการเดิมอยู่หรือไม่ เพราะคนทั้งโลกประจักษ์แล้วว่า ธัมมชโย “เคลื่อนย้ายได้” จะด้วยเพราะอาการดีขึ้น หรือเพราะตอนนั้นโกหก หรือบังเอิญเจอนวัตกรรมการเคลื่อนย้ายที่ทำให้คนไข้ไม่มีอันตรายได้แล้ว? ก็ผิดอีกนั่นแหละ เพราะหากเป็นด้วยประการท้าย ก็ควรเคลื่อนย้ายเขามามอบให้เจ้าหน้าที่ ที่รอคุมตัวไปส่งอัยการ และนำตัวส่งฟ้องศาลไปตามลำดับ แทนการเคลื่อนย้ายหนีหมายจับไปอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แพทย์รายนี้ท่านพอจะรับรู้อยู่ด้วยหรือไม่ ดีเอสไอก็ควรจะปรึกษาหารือ ถามไถ่กับท่านดูบ้าง ซึ่งถ้าท่านบอกว่า ไม่ได้รักษาธัมมชโยมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
11) เมื่อพูดถึงเรื่องแพทย์แล้ว การตรวจสอบ “ใบรับรองแพทย์” ของ “แพทยสภา” ไปถึงไหนแล้วนี่ ใบรับรองแพทย์
แค่ใบเดียว ทำไมล่าช้ากันเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ พ.อ.ณรงค์ ภักดีศุภผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี กล่าวตั้งแต่ 20 พ.ค.2559 ว่า โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษีขอยืนยันว่า ใบรับรองแพทย์ที่ออกให้พระธัมมชโยไม่ได้ออกให้โดยโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี อย่างไรก็ตาม แบบฟอร์มเอกสารนั้นเป็นของโรงพยาบาลจริง แต่ขั้นตอนกระบวนการที่นำไปใช้ไม่ถูกต้อง เพราะ 1.ไม่มีคนไข้มาตรวจ 2.ประวัติการรักษาไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เพราะโรคที่พระธัมมชโยเป็นนั้นเป็นโรคที่ร้ายแรง ถ้าเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจะต้องมีประวัติการตรวจรักษามาก่อน ต้องมีการมาตรวจกับแพทย์และต้องมีประวัติการรับยา ซึ่งทางวัดก็ยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่เคยมาตรวจที่โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี ซึ่งผู้ที่ออกใบรับรองแพทย์ดังกล่าวคือ พันโท นายแพทย์ สิริพงษ์ พัฒนธนาวิสุทธิ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษีแล้ว ที่ความผิดหรือบทลงโทษ ยังรอบทสรุปจากแพทยสภาอยู่ ซึ่งมิถุนายน 2559 บอกอีก 3 เดือนรู้ผล 26 ธันวาคม 2559 บอกอีก 1-2 เดือนสรุป นี่ปาเข้ามาเดือนมีนาคม 2560 แล้ว มีนายกฯ แพทยสภาคนใหม่แล้วคือ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ควรที่จะออกมาทำความกระจ่างให้สังคมได้แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี