ผมพักการจัดรายการ “ข่าวฟ้ายามเย็น” ทางช่อง “ฟ้าวันใหม่” ขยับมานิดเดียว คือ มาจัดรายการ “คิดเช่น Gen.D” ซึ่งเป็นรายการที่ออกอากาศตอน 19.00-20.00 น. ต่อจาก “ข่าวฟ้ายามเย็น” ที่ช่องเดียวกันนี่แหละ
วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้ล้อมวงคุยกับ คุณอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ คุณชาญวิทย์ วิภูศิริ และคุณบุณย์ธิดา สมชัย โดยตั้งโจทย์หรือหัวข้อในการคุยว่า “ข่าวยิงเสือดำของ “เปรมชัย” ช่วยใครเอาไว้บ้าง”
ความหมายของมันก็คือ มีข่าวสำคัญหลายข่าวที่ถูกเบียดออกจากพื้นที่ของการนำเสนอ เพราะกระแสความสนใจของคนที่มีต่อข่าวการล่าสัตว์ป่า ของนายเปรมชัย กรรณสูต ซีอีโอของอิตาเลียนไทย มาแรงมาก!!
กระนั้นก็ตาม วันพฤหัสบดี ก็ได้คุยเรื่องข่าวการล่าสัตว์ของซีอีโอคนนี้แล้วกับ คุณสงกรานต์ จิตสุทธิภากร คุณเจิมมาศ จึงเลิศศิริ และคุณพิมพ์ระพี พันธุ์วิชาติกุล
ในวันดังกล่าว เราตั้งหลักกันที่ ไลน์ของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ส่งถึงสมาชิกว่า “กรณีการจับกุมผู้บริหารระดับสูงที่ป่าทุ่งใหญ่ หวังว่าจะมีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมครับ”
โดยเราเห็นตรงกันว่า ถ้าตัดอารมณ์ดราม่าออกไปบ้าง ก็จะเห็นว่า “เป้าหมาย” ที่สังคมต้องมุ่งไปคือ กระบวนการยุติธรรมจะ “เอาผิด” นายเปรมชัยได้หรือไม่ และได้แค่ไหน ซึ่งนั่นเป็น “เรื่องใหญ่” ที่สังคมต้อง “ประคอง” ไปให้ถึงให้ได้ ตามหลักฐานที่มี
ใช่, มันน่าสะเทือนใจ กับเรื่องเล่าว่าเสือดำเป็นที่รักของคนดูแลป่าอย่างไร มันมีคู่ด้วยนะ ฯลฯ
ใช่, หลายคนไม่เข้าใจ คิดไม่ออก อยากรู้ว่า “จิตใจเขาทำด้วยอะไรนะ จึงยิงสัตว์เหล่านี้ได้” แต่เชื่อไหม เขาไม่ตอบคุณหรอก คุณไม่มีวันได้รู้หรอก เราจึงหันมาตั้งคำถามกับสิ่งที่จะ “เป็นประโยชน์” ต่อ “การเอาผิด” จะดีกว่า
เช่น ถูกตั้งข้อหาอะไรบ้าง แต่ละข้อหามีพยานหลักฐานแน่นหนาแค่ไหน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมกล้าหาญมาก ขอชื่นชมและให้กำลังใจ แต่เมื่อส่งเรื่องให้ตำรวจแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ขอให้ติดตามการทำสำนวนของตำรวจให้ดีๆ ด้วย เป็นต้น
เราได้ร่วมกันสรุปในรายการตอนดังกล่าวว่า
1.เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจมาก ที่เราได้เห็นการทำหน้าที่อย่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ไม่รับสินบน ไม่กลัวอิทธิพล ของชุดจับกุม พวกเขาคือข้าราชการตัวอย่างที่ควรได้รับการยกย่อง ใส่ใจ ดูแลให้มีสวัสดิการชีวิตที่ดีและปลอดภัย เพราะทุกๆ ปี มีการปะทะกับพวกตัดไม้และล่าสัตว์อยู่เสมอ แต่ไม่เป็นข่าวครึกโครมอย่างครั้งนี้ เพราะเพิ่งมี “วีไอพี” ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ที่ผ่านๆ มา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า บาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิตจากการ “รักษาผืนป่าและสัตว์ป่า” อยู่เนืองๆ
2.เป็นเรื่องที่ดีที่ประชาชน “ตื่นตัว” และ “รู้สึกร่วม” ไปกับการตายของ “สัตว์ป่า” ครั้งนี้อย่างกว้างขวาง จึงควรเป็นโอกาสอันดี ที่ภาครัฐและสื่อ ควรช่วยกันให้ข้อมูล สร้างจิตสำนึกร่วม และรับรู้ถึงสภาพป่าในเมืองไทย จำนวนสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ทั้งหลาย และแนวทางที่เราจะช่วยกันปกป้องดูแล แทนที่จะเสนอแต่มุม “สะเทือนอารมณ์” ของเรื่อง
3.สนช. ก็ควรเรียกผู้เกี่ยวข้องไปถามไถ่บ้าง อย่าทำตัวเป็นแค่ “ตรายาง” ผ่านกฎหมาย เพราะท่านสามารถตั้งกระทู้ถาม ตั้งญัตติ ฯลฯ ได้ โดยเฉพาะหากกฎหมายมีช่องโหว่ โทษเบาไป ไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขมานานจนล้าสมัย ก็เป็นหน้าที่ของ สนช. ใช่ไหม ที่จะต้องเข้ามาปรับปรุงแก้ไข
ครั้นถึงวันศุกร์ เราตั้งประเด็นว่า “ข่าวยิงเสือดำของ ‘เปรมชัย’ ช่วยใครเอาไว้บ้าง”
ก็ได้คำตอบจากทั้งทางเราและท่านผู้ชมดังต่อไปนี้
1) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับเรื่อง “นาฬิกา”
เรื่องกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เมื่อคุณทิชา ณ นคร ตั้งกระทู้ให้คนร่วมลงชื่อใน Change.org เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร ลาออก ทำท่าจะเข้มข้นขึ้นและถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็แผ่วหายไปในข่าว “ฆ่าเสือดำ”
บุณย์ธิดา สมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาทั้งด้านกฎหมายและจริยธรรม ด้านกฎหมายเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่ แต่ด้านความรับผิดชอบทางจริยธรรม เป็นเรื่องของตัวบุคคล ซึ่งกำลังถูกสังคมเรียกร้อง เสียดายที่ความต่อเนื่องมันขาดตอนไป
ชาญวิทย์ วิภูศิริ กล่าวว่า กรณีจริยธรรมส่วนบุคคล ก็คาบเกี่ยวระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเมื่อ พล.อ.ประวิตร เลือกที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ ในเรื่องนี้มากนัก สื่อมวลชนก็หันไปสอบถามเอาจาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่าในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะดำเนินการอย่างไรในแง่จริยธรรม
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ เสริมว่า มองผิวเผินไม่เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะดูเป็นปัญหาส่วนตัว แต่ในที่สุด ก็เป็นปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย ในกรณีที่ท่านไม่ตัดสินใจใดๆ กับเรื่องนี้ เพราะท่านเป็นผู้นำ ท่านเรียกร้องจริยธรรมและธรรมาภิบาลจากนักการเมืองเสมอมา แต่ในกรณีนี้ ท่านกลับไม่เรียกร้องจากรัฐบาลของท่าน มันส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งที่ผ่านมา มีเรื่องให้โจมตีน้อยมาก เริ่มมีจุดบอด ในแง่เพิกเฉยต่อกระบวนการสร้างความมีธรรมาภิบาลให้เป็นมาตรฐาน
2) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง “ตำรวจไซด์ไลน์”
บุณย์ธิดา สมชัย เล่าข้อมูลพื้นฐานก่อนว่า มันเกิดจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.สมยศเอง เพราะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินหนี้สินว่ามีการยิมเงินจาก “เสี่ยวิคตอเรีย ซีเครท” รวมๆ กันแล้ว
ราว 300 ล้านบาท เมื่อถูกซักถาม แทนที่ท่านจะอธิบายให้มันดีๆ ก็ไปใช้คำพูดว่า ในวงการเขาก็รู้กันทุกคน ว่าผมเป็นนักธุรกิจ ผมทำธุรกิจเยอะแยะ งานตำรวจเป็นแค่งานไซด์ไลน์
ชาญวิทย์ วิภูศิริ บอกว่า คำตอบแบบนี้ สังคมรับไม่ได้ เพราะงาน “รับราชการ” เป็นงานที่ต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีหน้าที่สำคัญมาก แต่ก็ชื่นชมท่านนะ ว่าขนาดท่านทำงานตำรวจแบบไซด์ไลน์ ยังได้เป็น ผบ.ตร.เลย ถ้าท่านทำเป็นอาชีพหลัก ป่านนี้คงเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว (ฮา...)
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ บอกว่า การพูดอย่างนี้ เสื่อมเสียไปถึงคนที่ตั้งท่านเป็น ผบ.ตร. เสมือนไม่ตรวจสอบประวัติ โดยคนตั้งก็คือรัฐบาล คสช. มันทำให้คนรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไม คสช. เอาตำรวจไซด์ไลน์ มาคุมหน่วยงาน ในช่วงที่คนทั้งชาติเรียกร้องเรื่องการ “ปฏิรูปตำรวจ” และอาจถูกเหมาไปว่า เพราะ คสช. ไม่อยากให้ปฏิรูปตำรวจกระมัง จนป่านนี้ การปฏิรูปตำรวจจึงยังไปไม่ถึงไหนสักที
ในวงสนทนาของเราฟันธงว่า ถ้าไม่มีข่าว “ฆ่าเสือดำ” ขึ้นมา คนที่จะถูก “ล่าและฆ่า” ด้วยโซเชียลมีเดีย คือ พล.ต.อ.สมยศนี่เอง โดยสิ่งที่ฆ่าเขามิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คำพูดชุ่ยๆ”
ของตัวเขาเอง
“เอ๊ะ! ปกติ คำว่าไซด์ไลน์นี่ เขาใช้กับอาชีพแบบไหนนะคะ” บุณย์ธิดา ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่ “ก็ถ้าไปทำงานไซด์ไลน์กับเสี่ยวิคตอเรีย ซีเครท ละก็ ใช่แน่ๆ” ผมตอบ
หัวใจของเรื่องเงิน 300 ล้าน ก็ถูกกลบไปด้วยคำว่าไซด์ไลน์เช่นเดียวกัน เพราะสิ่งที่สังคมต้องการคำตอบก็คือ มันเป็น “ส่วย” หรือ “การกู้ยืม” กันจริงๆ !!
3) พ.ร.ป. ส.ส. กับ พ.ร.ป. ส.ว.
เป็นความต่อเนื่องที่สังคมควรจดจ่อ ว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ สนช. ไปเติมเรื่องระยะเวลาของการบังคับใช้ 90 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่งผลให้การเลือกตั้งอาจต้องเลื่อนไปอีก 90 วัน และการจัดให้มีมหรสพขณะหาเสียงเลือกตั้งได้นั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ อย่างกรรมการร่างและ ก.ก.ต. จะมีประเด็นโต้แย้งหรือไม่ หรือจะมีใครยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเหมือน พ.ร.ป. ว่าด้วย ป.ป.ช. ที่ต้องยื่น เพราะดันทะลึ่ง อนุญาตให้ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งต่อได้ เรื่องนี้สำคัญอย่างไร สำคัญตรงที่ถูกจับตามองและตีความว่า อาจเป็น ลูกเล่น” เพื่อทำให้การออกกฎหมายล่าช้าหรือ “ตกไป” ซึ่งรัฐธรรมนูญมิได้ระบุไว้ ว่าหากเป็นเช่นนั้น จะต้องทำอย่างไร และสำคัญกันกว่านั้นคือ จะต้องทำในระยะเวลาสั้นยาวแค่ไหน นี่คือ “ช่อง” ที่หากมีคนใช้ การเลือกตั้งก็ยาวออกไปอย่าง “ไม่มีกำหนด” รวมไปถึงการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กฎหมายก็มิได้เขียนไว้ ว่าต้องใช้เวลาช้าเร็วอย่างไรในกระบวนการพิจารณา
ส่วน พระราชบัญญัติว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. มีประเด็นขัดแย้ง ระหว่างร่างของกรรมการร่าง ที่ สนช. ปรับลด กลุ่มให้น้อยลง และเปลี่ยนการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่ม มาเป็นการเลือกกันเองในกลุ่ม ก็ต้องรอดูว่า กรธ. จะโต้แย้งในเรื่องนี้หรือไม่
4) การยึดทรัพย์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หลังศาลปกครองกลาง ยกคำร้อง ขอคุ้มครองการยึดอายัดทรัพย์ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคำพิพากษาศาลไปอยู่ต่างประเทศ สังคมควรสนใจว่า รัฐบาล คสช. จะนิ่งนอนใจ เพิกเฉย ต่อการเข้ายึดอายัดทรัพย์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ตามที่คณะกรรมการสืบทรัพย์เคยแจ้งว่า มีข้อมูลทรัพย์สินของนางสาวยิ่งลักษณ์ส่วนใหญ่อยู่แล้ว
อย่าลืมว่า บ้านเมืองของเรา เสียหายจากการปล่อยปละละเลยไม่กำกับดูแลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว จนเกิดการทุจริต และงบประมาณแผ่นดินย่อยยับไปเป็นจำนวนมาก โดยที่ชาวนาไม่ได้รับประโยชน์จากเงินส่วนนั้น ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินแล้วว่ายิ่งลักษณ์ผิดจริง จึงเป็นที่สนใจของสังคมว่า ทำไมเรื่องนี้ ศาลปกครองยังนิ่ง มิได้มีคำวินิจฉัยใดๆ ออกมา หลังจากยิ่งลักษณ์ไปยื่นขอความยุติธรรม ให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ที่เรียกค่าเสียหายจากเธอ ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ซึ่งเป็นการเรียกค่าเสียหายในทางแพ่ง คงเป็นขั้นตอนของศาลที่ต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลไปตามกระบวนการ ซึ่งข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายยื่นไปก็คงมีมาก
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยศาลก็ยกคำร้องเรื่องห้ามยึดอายัดทรัพย์ ก็ควรเดินหน้ายึดอายัดเสีย ก่อนที่จะถูกยักย้ายถ่ายเท หรือที่จริงได้ถ่ายเทไปแล้วก็ไม่ทราบได้ เพราะทรัพย์ประเภท “เคลื่อนที่ได้” หรือ “สังหาริมทรัพย์” มันคงไม่อยู่คอยคณะกรรมการสืบทรัพย์และกรมบังคับคดีไปอายัดได้ง่ายๆ ดอกกระมัง แถมเจ้าของก็เผ่นหนีออกนอกประเทศไปอย่าง “ง่ายดาย” อีกต่างหากกระบวนการตามตัวกลับมาก็ “มิได้เข้มข้นอันใดเลย” อีกต่างหาก ก็อย่าให้คนเขารู้สึกว่า การเรียกค่าเสียหายคืนกลับมาก็ “เฉื่อยแฉะ” ไปด้วยเลย
ทั้งหมดที่เราคุยกัน ก็หวังให้คนเห็น “สาระ” ที่แท้จริงของเรื่องต่างๆ อันเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง แม้เรื่องนั้นๆ อาจไม่มี “อรรถรส” ใดๆ ให้ “อร่อยหู” เวลาเสพก็ตามที
แต่แนวคิดของรายการ “คิดเช่น Gen.D” ก็คือ
ทุกเรื่องที่ควรคิด คิดในมุมดีๆ หากคุณไม่รู้วิธีที่จะคิดกับเรื่องนั้นๆ มาล้อมวงคิดด้วยกันกับเรา “คิดเช่น Gen.D” สิครับ
ติดตามกันต่อได้ที่ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง ฟ้าวันใหม่” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00-20.00 น.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี