คนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย จะถูกสังคมเรียกว่านักวิชาการ ส่วนคนที่เรียนด้วยก็จะเรียกอาจารย์ แต่ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย “ดัดจริต” และ “ดีแต่ปาก” ดังจะเห็นว่าบางคนปากดี ปากแจ๋ว แต่ไม่มีผลงานวิชาการระดับดีเด่นแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม ต้องยืนยันว่าคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยไทยไม่ได้เลวทราม เลวร้าย และปากแจ๋วไปเสียทุกคน แต่ย้ำยืนยันว่ามีจำนวนหนึ่งที่ชอบสร้างภาพให้ตนเองเป็นที่สะดุดตา สะดุดหูของสังคมด้วยการสร้างภาพโดยกลวิธีปากแจ๋ว
คงไม่ต้องอธิบายคำว่าปากแจ๋วอีกต่อไป เพราะคำนี้น่าจะเป็นที่เข้าใจตรงกันในสังคมไทยแล้วก็ต้องย้ำว่าคำว่าปากแจ๋วนั้น มักไม่มีความหมายในเชิงบวก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีความหมายในเชิงลบจนเข้าขั้นอุบาทว์เสมอไป
ถามว่าทำไมคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งจึงต้องเล่นบทปากแจ๋วให้ปรากฏแก่สังคม ตอบได้โดยเบื้องต้นว่า เพราะหิวแสง อยากดัง เนื่องจากไม่มีปัญญาผลิตงานวิชาการดีเด่นให้บังเกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องสร้างปมเด่นหวังให้กลบปมด้อยของตนด้วยอาการปากแจ๋ว
ถามว่างานวิชาการจำเป็นต้องใช้ภาษาดุเดือด ร้อนแรง เผ็ดร้อน จี๊ดจ๊าด หรือไม่ ตอบว่าไม่จำเป็นเลย เพียงแต่ต้องใช้ภาษาที่ทำให้คนทั่วไปอ่านหรือฟังแล้วเข้าใจได้ง่าย เข้าใจตรงกัน และไม่ต้องถูกตีความซับซ้อนจนทำให้เกิดอาการสติหลุด อ่านแล้วเข้าใจไปคนละทิศละทาง
แต่นักวิชาการจำนวนไม่น้อยมักใช้ภาษาที่แสนจะเข้าใจยาก เน้นคำวิชาการเกินจำเป็นเมื่อต้องพูดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วๆ ไป ซึ่งอาจเป็นเพราะว่านักวิชาการต้องการยกตนข่มท่าน หรือแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าฉันคือนักวิชาการผู้มีปัญญาสูงส่งเกินกว่าคนทั่วๆ ไป
ไม่ผิดหากนักวิชาการจะใช้คำศัพท์แสงวิชาการ ในยามอยู่ร่วมกันในกลุ่มนักวิชาการที่เรียนรู้และศึกษาวิจัยค้นคว้าเรื่องเดียวกัน แต่ต้องบอกตรงๆ ว่าเมื่อเวลาคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่นอกวงวิชาการ ก็ขอให้ใช้คำที่คนธรรมดาทั่วไปเข้าใจง่าย เข้าใจตรงกัน เพื่อให้การเสวนา สนทนา พูดคุยดำเนินไปได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ เพื่อความเข้าใจตรงกัน แต่ในความจริงของสังคมไทย มักจะพบว่านักวิชาการบางจำพวกกระแดะ ดัดจริตหนักมาก เพราะต้องพูดให้ยากเข้าไว้ โดยใช้คำพูดที่ฟังแล้วสูงส่ง เข้าใจยาก เพื่อยกระดับของตนให้สูงกว่าคนทั่วไป
แต่การที่นักวิชาการพูดอะไรกับสังคม แล้วคนในสังคมไม่เข้าใจ มันคือความสูญเปล่าอย่างที่สุด เพราะเสียเวลา เสียสมอง เสียอารมณ์ เนื่องจากพูดแล้วคนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอกำลังพูดอะไร หรือไม่เข้าใจว่าเธอจะบอกอะไร อันที่จริงนั้น พูดให้ตรงประเด็นด้วยภาษาง่ายๆ แล้วทำให้คนฟังเข้าใจ คือการสื่อสารที่ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ทำไมนักวิชาการไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่มีปัญญาพูดให้คนทั่วไปเข้าใจได้ นี่คือปัญหาของนักวิชาการ ไม่ใช่ปัญหาของคนฟัง
เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปิดเวทีวาทีของเหล่าคนสอนหนังสือกลุ่มหนึ่ง โดยจัดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วตั้งประเด็นการพูดคุยว่า โจรสยาม เคลมโบเดีย
ถามว่าทำไมต้องตั้งชื่อให้มันร้อนแรงถึงเพียงนั้น ตั้งชื่อการพูดคุยแบบที่ว่านั้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด จะโชว์ว่าตนเองเป็นผู้มีวาทะชั้นเลิศหรืออย่างไร หรือคิดว่าการตั้งชื่อแบบนั้นมันทำให้คนฟังต้องแห่กันไปฟังจนห้องเสวนาแตกปริระเบิด เพราะฝูงชนจำนวนมหาศาลไหลทะลักเข้าไปรวมตัวกัน
ขอไม่กล่าวถึงชื่อคนพูดเรื่องนี้บนเวทีในวันที่มีการพูดคุย เพราะไม่มีความสำคัญใดๆ แต่ประเด็นที่น่าคิดคือ ทำไมต้องเป็นโจรสยาม หรือว่าคนสยามเป็นโจร หรือว่าคนพูดไม่ใช่คนสยาม หรือว่าสถานที่ที่จัดการพูดนั้นไม่ใช่พื้นที่ของสยามประเทศ แล้วภาษาที่พูดกันในวันนั้นไม่ใช่ภาษาสยาม อันที่จริงยังตั้งคำถามได้อีกมากมายกับคำว่าโจรสยาม
ส่วนคำว่าเคลมโบเดีย ก็ไม่น่าจะทำให้ชนชาติกัมพูชาหรือเขมรปลาบปลื้มมากนัก เพราะต่อให้คนเขมรอาจจะฟังภาษาไทยไม่ออกทุกคำ และอ่านภาษาไทยไม่ออกทุกตัว ก็คงไม่ยากเกินไปที่คนเขมรจะเข้าใจได้ว่า เคลมโบเดียหมายความว่าอะไร และเป็นคำชมหรือคำด่าคนกัมพูชาหรือคนเขมร
มันเป็นเรื่องน่าสะอิดสะเอียนมากที่คนสอนหนังสือบางจำพวกในมหาวิทยาลัยไทยชอบเล่นวาทะ เล่นลิ้น ใช้เล่นวนไปวนมา แต่ทว่าไร้สาระ หาสาระแท้จริงไม่ได้แม้แต่น้อย อันที่จริงหากจะพูดหรือนำเสนอเรื่องราวทางวิชาการก็ควรจะนำเสนอแบบตรงประเด็น ไม่ต้องวนลิ้นให้มากจนเกินการณ์เกินเหตุ จะวิจารณ์สิ่งใด ประเด็นใด ก็วิจารณ์ให้ตรงเรื่องตรงประเด็น เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไม่ต้องตีความไม่ต้องวิ่งรอบโต๊ะให้เหนื่อยเปล่า
คำถามที่สังคมไทยถามคือเหล่าบรรดาผู้คนที่ไปพูดบนเวทีในเรื่อง โจรสยาม เคลมโบเดีย ต้องการบอกอะไรกับสังคมไทย หรือสังคมของเขมร จะชม จะด่า หรือจะอะไรกันแน่
คนจัดเวทีพูดคุยประเด็นนี้อาจจะไม่คิด หรือลืมคิด หรือคิดไม่ถึงว่าคนเขมรที่ติดตามเรื่องนี้น่าจะไม่พอใจคำว่าเคลมโบเดีย แล้วคำนี้อาจจะกลายเป็นชนวนให้เกิดเหตุวิวาทบาดหมางในหมู่คนเขมรกับคนไทย (สยาม) ในอนาคต แล้วคนพูดเรื่องนี้ก็อาจจะไม่คิดว่า โจรสยามคือการด่า ตำหนิ ประณามคนสยาม (ไทย) หรือคนพูดอาจจะรู้ตัวเองดีว่าตนเองไม่ใช่คนสยาม เพราะกำพืดของต้นกำเนิดแห่งตัวเองไม่ใช่สยาม แต่เป็นพวกที่เข้ามาอาศัยบนแผ่นดินสยาม
แต่หากคนพูดใช้สามัญสำนึกก็น่าจะตระหนักถึงคำว่าโจรสยาม กับเคลมโบเดียได้แล้ว และน่าจะต้องรู้ว่าคำเหล่านี้มันคือการเหยียดหยาม หยามหมิ่น และประณาม ซึ่งคล้ายกับที่ผู้เขียนตั้งคำถามเชิงเสียดสีว่ากำเนิดของผู้พูดบางคนบนเวทีไม่น่าจะเป็นสยาม
การทำงานที่อ้างว่าเป็นงานเชิงวิชาการต้องไม่นำไปสู่การแตกแยก การทะเลาะเบาะแว้ง ตบตีเข่นฆ่ากันของผู้คนกลุ่มต่างๆ ที่ถูกกล่าวหรือพาดพิงถึง แต่งานวิชาการต้องนำไปสู่ความเข้าใจในปมประเด็นปัญหา เพื่อก่อให้เกิดการแก้ปัญหา ลดความขัดแย้ง แล้วนำไปสู่ความสมานฉันท์ระหว่างกันในหมู่คนที่ถูกกล่าวถึงในงานวิชาการ
การสร้างวาทกรรมเผ็ดร้อน ดุเดือดเลือดพล่านเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะบังเกิดในแวดวงวิชาการที่มีนักวิชาการผู้มีมันสมองเป็นเลิศ แต่หากวงวิชาการนั้นไร้นักวิชาการที่มีสติปัญญา และไร้สมองแล้ว ก็ไม่ใช่วงวิชาการอีกต่อไป แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงการรวมตัวกันของคนปากแจ๋ว ที่หาสาระสำคัญในเชิงวิชาการไม่ได้ และขอย้ำว่าคนที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยนั้น มิใช่ว่าทุกคนจะมีสติปัญญาสูงส่งโดยแท้จริงเสมอไป เพราะบางคนนั้นแม้จะทำมาหากินด้วยการสอนหนังสือมาช้านาน แต่ไม่เคยมีผลงานวิชาการใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแม้แต่น้อย ต่อให้บางคนมีตำแหน่ง ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรือผู้ช่วยศาสตราจารย์ ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเป็นคนมีสติปัญญา มีมันสมองเป็นเลิศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี