เมื่อไม่นานวันมานี้ ผมมีกิจธุระในยุโรปที่สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส ก็เลยได้มีโอกาสสนทนากับผู้คนพื้นเมือง และชาวไทยที่พำนักพักพิงและศึกษาอยู่ที่นั่น ซึ่งคำถามของผมก็คือ mood หรืออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของชาวยุโรป ณ วันนี้เป็นกันอย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย, “นโยบายข้าไปคนเดียว”หรืออเมริกาต้องมาก่อนของสหรัฐอเมริกานำโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์, เหตุการณ์ความไม่สงบที่ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะการประหัตประหารกันระหว่างฝ่ายอิสราเอลกับฝ่ายอาหรับปาเลสไตน์ ไปจนถึงการถดถอยของการเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมโดยทั่วไปและอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นการเฉพาะ และการต้องเผชิญกับขีดความสามารถในการแข่งขัน และการผงาดขึ้นมาของจีนทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการบริหารจัดการ ไปจนถึงเรื่องการเปิดรับผู้อพยพลี้ภัยจากยูเครน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยขาดความพร้อมในการจัดวางระบบ การบริหารจัดการเพื่อรองรับ
ความรู้สึกนึกคิด และความอ่อนไหวทางจิตใจโดยทั่วไปที่พบเจอก็คือ ความหวาดกลัวกับความไม่แน่นอน ทั้งในชีวิตปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ การไร้ซึ่งความสามารถของผู้นำทางการเมืองในการนำพาและบริหารจัดการประเทศ รวมทั้งความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบรรดาผู้นำ โดยเฉพาะของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้งในเรื่องการรวบรวมพละกำลังที่จะต่อกรกับสหรัฐฯ ที่จะหาช่องทางที่จะอยู่ร่วมกับรัสเซีย การรับมือกับผู้อพยพลี้ภัย ไปจนถึงการมีบทบาทนำในเวทีโลก และในเวทีระดับภูมิภาคต่างๆ
นอกจากนั้น ยุโรปก็มีปัญหาที่จะต้องเสริมสร้างความสมดุลระหว่างการใช้งบประมาณเพื่อการทหารและความมั่นคง เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเพิ่มการป้องกันตัวเอง กับการมีงบประมาณที่เพียงพอเหมาะสมกับการฟื้นฟูพัฒนาเศรษฐกิจและเสริมสร้างความทัดเทียมในสังคม อีกทั้งยุโรปก็ยังจะต้องหาความเป็นตัวตนว่าจะยึดมั่นกับเรื่องเสรีประชาธิปไตย หรือจะหันเหไปในทิศทางของลัทธิชาตินิยม และยุโรปยังจะคงพยายามมีบทบาทในกรอบพหุภาคีอีกต่อไปอย่างแข็งขัน หรือจะลดบทบาท แล้วเอาเรื่องของตัวเองมาเป็นที่ตั้งในทำนองเดียวกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
จัดได้ว่ายุโรป ณ วันนี้ กำลังค้นหาตัวเองอยู่ ซึ่งก็คงจะต้องพยายามมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เพราะจะพึ่งพาสหรัฐฯ ดังที่ได้กระทำมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองอีกต่อไปมิได้ อีกทั้งจะต้องหาจุดยืนร่วมเพื่อหาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซียให้ได้ แทนที่จะอยู่กันแบบไม่ไว้วางใจ เกรงกลัว และเผชิญหน้ากันคู่ขนานกันไปยุโรปก็ต้องปรับทัศนคติ ปรับระบบความคิดว่า ยุโรปมิใช่ดินแดนของคนผิวขาวอีกแล้ว คนผิวสีต่างๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมของยุโรปเจ้าอาณานิคมก็ได้หลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐาน อีกทั้งผู้คนจากประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ก็หนีความแร้นแค้น หนีความขัดแย้งทางการเมือง มาหาชีวิตใหม่ที่ยุโรป ขณะที่ยุโรปก็ขาดแรงงาน ประชากรก็เป็นผู้สูงอายุยิ่งขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับความจริงว่า สังคมยุโรปเป็นสังคมแห่งความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ และความเชื่อถือเสียแล้ว จำเป็นที่จะต้องกลับเนื้อกลับตัวให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ ยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน
ยุโรปเป็นดินแดนที่พัฒนาแล้วทุกด้าน และฉะนั้นเมื่อมีปัญหา ก็น่าจะไม่เกินวิสัยที่จะใช้สติปัญญาแก้ไข แต่จุดเริ่มต้นก็อยู่ที่ผู้นำทางการเมือง และกลุ่มปัญญาชนว่าจะคิดอ่าน สื่อสารกับสังคมกับสาธารณชน และหาฉันทามติเพื่อก้าวไปข้างหน้ากันอย่างไร
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี