ในยุคที่กระแสเงินดิจิทัลพลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก Stablecoin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตรึงกับสินทรัพย์จริง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือเงินบาทไทย กำลังผงาดขึ้นเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยลดความผันผวนรุนแรงของคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป ทำให้เหรียญอย่าง USDT หรือ USDC กลายเป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้สำหรับการซื้อขายคริปโต, การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi), การโอนเงินข้ามประเทศไปจนถึงการชำระเงินในชีวิตประจำวัน รายงานล่าสุดจากCoinbase ชี้ชัดว่า มูลค่าการทำธุรกรรมStablecoin ทั่วโลกในปี 2024 พุ่งสูงถึง
27.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่ามูลค่าธุรกรรมรวมของ Visa และ Mastercard ในปีเดียวกันถึง 7.7% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม 2024
ที่มูลค่าธุรกรรม Stablecoin แตะ719 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และรักษาระดับเฉลี่ยในเดือนเมษายน 2025 ที่ 717 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
Stablecoin แทรกซึมทุกมิติธุรกิจ
กระแส Stablecoin ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการคริปโตอีกต่อไป เกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริหารระดับสูงในบริษัท Fortune 500 หรือคิดเป็น 29% ได้เริ่มพิจารณาหรือวางแผนที่จะใช้ Stablecoin ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าจากปี 2024 แสดงให้เห็นว่าองค์กรยักษ์ใหญ่เริ่มมองเห็น Stablecoin เป็นกลไกทางการเงินเชิงกลยุทธ์
บริษัทเทคโนโลยีและฟินเทคชั้นนำระดับโลกต่างเร่งพัฒนา Stablecoin ของตนเอง อาทิ :
● Bank of America กำลังพัฒนา Stablecoin ที่ตรึงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ รอเพียงกรอบกฎหมายที่ชัดเจนจากสหรัฐฯ
● PayPal ได้เปิดตัว PYUSD ซึ่งเป็น Stablecoin ที่หนุนหลังด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ บนเครือข่าย Ethereum และ Solana
● Stripe ผนึกกำลังกับ Shopify และ Coinbase เพื่อให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินด้วย USDC ได้บนเครือข่าย Base
● Standard Chartered กำลังเร่งเตรียมการเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการพัฒนา Stablecoin ที่ตรึงกับดอลลาร์ฮ่องกง
แผน Stablecoin ตรึงบาท : โอกาสครั้งสำคัญของไทย
ประเทศไทยเองก็ไม่ตกขบวน โดยมีแผนการพัฒนา Stablecoin ตรึงเงินบาท ที่มี พันธบัตรรัฐบาลหนุนหลังเพื่อเสริมสภาพคล่องและเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของประชาชน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงแนวคิดในการนำสินทรัพย์ของรัฐบาลมาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงแผนการออกโทเคนดิจิทัลพันธบัตรรัฐบาล (G-Token) มูลค่า 5 พันล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568
โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในเดือนกรกฎาคมและเปิดระบบอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถลงทุนแบบ Micro-bond ผ่านบล็อกเชนได้โดยตรงไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินหลัก
ความระมัดระวังจากภาครัฐ และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น
แม้จะเห็นประโยชน์มหาศาล แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็แสดงความระมัดระวังต่อผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน โดยยืนยันว่า Stablecoin ที่ออกโดยภาคเอกชนจะต้องไม่ก่อให้เกิดการสร้างเงินใหม่เกินความจำเป็น ในขณะที่ สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เดินหน้าอนุมัติให้ USDT และ USDC สามารถซื้อขายในประเทศไทยได้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2568 ส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานอย่างชัดเจน
ความท้าทายและการก้าวสู่ผู้นำดิจิทัล
โครงการ Stablecoin ตรึงบาทถูกมองว่าเป็นสะพานเชื่อมโลกการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi) เข้ากับโลกการเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ (DeFi) อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข เช่น การพัฒนากรอบกฎหมายที่ชัดเจน,การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการเงินดิจิทัลในหมู่ประชาชนและการวางระบบตรวจสอบ เพื่อป้องกันการฟอกเงิน
(AML/KYC) ที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากประเทศไทยสามารถดำเนินโครงการ Stablecoin ตรึงบาทนี้ได้อย่างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและเสถียรภาพ เราอาจได้เห็น Stablecoin ตรึงบาทกลายเป็น Soft Power ทางเศรษฐกิจที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียน พร้อมสร้างระบบการเงินยุคใหม่ที่ผสาน TradFi, DeFi และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันไทยสู่การเป็นผู้นำด้านการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี