พี่น้องประชาชนคนไทยทราบไหมครับว่า “รัฐบาลกัมพูชา”เคยกู้เงินจาก “ประเทศไทย”หลายครั้ง รวมวงเงินกว่าพันล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการสร้างและซ่อมแซมถนนทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในกัมพูชาอาจยังไม่เคยรู้ความจริงข้อนี้
จากข้อมูลย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 “รัฐบาลกัมพูชา” โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง ได้ลงนามกู้เงินจากประเทศไทยกว่า 1.4 พันล้านบาท เพื่อซ่อมแซม “ถนนหมายเลข 68” จากจุดผ่านแดนช่องจอมไปยังจังหวัดอุดรมีชัย ระยะทางรวมกว่า 113 กิโลเมตร
หลังจากนั้นไม่นาน ความตึงเครียดเรื่อง“ปราสาทพระวิหาร” ปะทุขึ้นจนกลายเป็นเหตุปะทะชายแดน “กัมพูชา” จึงขอเพิกถอนข้อตกลงเงินกู้โดยอ้างว่ามีเงินเพียงพอแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยให้ความช่วยเหลือสร้างถนนหมายเลข 48 และ 67 มาแล้ว
“ปี 2562–2563 ประเทศไทย” ยังคงให้ความช่วยเหลืออีกครั้ง ด้วยการปล่อยเงินกู้กว่า 983 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงถนนหมายเลข 67 (ช่วงเสียมราฐ–อลงเวง–โจนสังกาม) โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า วัสดุและอุปกรณ์อย่างน้อย 50% ต้องนำเข้าจากไทย และ ผู้รับเหมา วิศวกร รวมถึงที่ปรึกษาโครงการต้องเป็นคนไทย
สำหรับหนี้ที่กัมพูชาต้องชำระคืนประเทศไทย
ปี 2567 : ชำระเงินต้น 5.21 ล้านดอลลาร์ +ดอกเบี้ย 900,000 ดอลลาร์
ปี 2568 : ชำระเพิ่มอีก 1.72 ล้านดอลลาร์ +ดอกเบี้ย 330,000 ดอลลาร์
ทั้งยังมีการชำระหนี้ให้เวียดนามอีก 2.08 ล้านดอลลาร์ สะท้อนว่ากัมพูชามีการกู้จากหลายประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน
จากข้อมูลของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและการบริหารหนี้สินของกัมพูชาประจำไตรมาสแรกของปี 2568 หนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลกัมพูชาอยู่ที่กว่า 12.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กว่า 99.96% ของหนี้สินนี้เป็นหนี้ต่างประเทศ
ใครคือเจ้าหนี้รายใหญ่ของกัมพูชาในปี 2568
l จีน - 3.981 พันล้านดอลลาร์
l ADB (ธนาคารพัฒนาเอเชีย) - 2.581 พันล้านดอลลาร์
l ธนาคารโลก - 1.720 พันล้านดอลลาร์
l ญี่ปุ่น - 1.328 พันล้านดอลลาร์
l เกาหลีใต้ - 689 ล้านดอลลาร์
l ฝรั่งเศส - 686 ล้านดอลลาร์
l IFAD - 170 ล้านดอลลาร์
l AIIB - 53.9 ล้านดอลลาร์
l ประเทศไทย - 53.15 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.724 พันล้านบาท)
l เยอรมนี - 15 ล้านดอลลาร์
l เวียดนาม - 7.29 ล้านดอลลาร์
l อินเดีย - 6.38 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ยังมี “หนี้” จาก “การรักษาพยาบาล” ที่ประเทศไทยต้องแบกรับรวมอยู่ด้วย
โดยเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกระแสข่าวว่า ผู้ป่วยชาวกัมพูชาจะไม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของไทยตามนโยบาย รัฐบาลกัมพูชา ว่าเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่สอดคล้องกับความจริงในพื้นที่ และมั่นใจว่าผู้ป่วยชาวกัมพูชายังมีความต้องการเข้ารับการรักษาในประเทศไทย เนื่องจากระบบสาธารณสุขไทยมีคุณภาพทั้งในด้านแพทย์และสถานพยาบาล
“ผู้ป่วยก็ต้องเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลหรือแพทย์ที่ดี ซึ่งประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขที่ดีอยู่แล้ว เรื่องไม่ให้มารักษาในไทยนั้น ไม่น่าจะเป็นจริงคิดว่าเป็นความเข้าใจผิดที่ไม่นานก็คงคลี่คลาย”นายสมศักดิ์กล่าว
และว่า ชาวกัมพูชาที่มารักษาในไทยยังค้างชำระค่ารักษาเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการแก้ไข โดยพบว่ามีแรงงานและบุคคลต่างด้าวที่เข้ามารักษาในไทยจำนวนมาก บางส่วนไม่มีทะเบียน หรือไม่ได้อยู่ในระบบประกันสุขภาพ ซึ่งทำให้การติดตามค่าใช้จ่ายเป็นไปอย่างยากลำบาก
ทั้งนี้ มีมติคณะรัฐมนตรีในอดีตเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยต่างด้าวอยู่แล้ว แต่ยังไม่นำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมผลักดันการบังคับใช้ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อป้องกันการขาดทุนของโรงพยาบาล และรักษาระบบให้มีความยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดทำบัญชีและระบบประกันสุขภาพให้แรงงานกลุ่มนี้อย่างเป็นระบบ
ถามว่า จำนวนเยอะหรือไม่ที่ค้างชำระค่ารักษากับรพ.ไทย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะชาวกัมพูชา ยังมีชาวเมียนมา และคนจากประเทศอื่นๆ รวมแล้วกว่าล้านคน หรืออาจมากกว่า เพราะไม่มีการลงทะเบียน ไม่มีบัญชีที่ชัดเจน ซึ่งคนที่มาทำงานในประเทศไทยจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ขึ้นทะเบียนมีบัญชีขึ้นตรงกับกระทรวงแรงงาน และประกันสังคม ส่วนอีกส่วนคือ ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เรื่องนี้จึงต้องเร่งจัดระบบให้เรียบร้อย ตอนนี้เรื่องเสนอ ครม. ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นำเข้าที่ประชุม ส่วนในกรณีชาวกัมพูชาสวมสิทธิ 30 บาท หรือบัตรทอง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และต้องมีการดำเนินคดีตามขั้นตอนหากตรวจสอบพบก็ต้องว่ากันตามขั้นตอน
เมื่อไปดูในรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 4 และภาพรวม ปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า ประชากร 3 ประเทศเพื่อนบ้านชายแดนทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา เข้ามาใช้บริการการรักษาในไทยเป็นจำนวนมาก โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีคนต่างด้าวเข้ามาใช้บริการสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนทั้งสิ้น 8.7 แสนครั้ง
19.3% เป็นคนต่างด้าวที่มีประกันสุขภาพเอกชน หรือ ชำระค่ารักษาพยาบาลเอง
16.8% เป็นคนต่างด้าวที่ใช้สิทธิผ่านกองทุนบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิหรือบุคคลไร้รัฐ (ท.99)
6.8% เป็นคนต่างด้าวที่ใช้สิทธิผ่านกองทุนประกันสังคม
และมีเพียง 4.3% ที่ใช้สิทธิ ผ่านกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าว ขณะที่คนต่างด้าวส่วนใหญ่หรือ 52.8% เป็นคนต่างด้าว ที่เข้ามาใช้บริการที่สามารถชำระค่ารักษาได้บางส่วนหรือไม่สามารถชำระค่ารักษาได้ และคนต่างด้าวที่ไม่ระบุสิทธิ
เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าวในพื้นที่ชายแดนไทย พบว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีมูลค่าถึง 2,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
ถึง 12.6% โดยกว่า 76.3% ของมูลค่าดังกล่าวมาจากพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนคนต่างด้าวเข้ามารับบริการมากที่สุด เมื่อเทียบกับชายแดนอื่น
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชากรต่างด้าวที่เรียกเก็บไม่ได้ จำแนกตามรายชายแดนต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้ของชายแดนทั้งหมด ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อ้างอิงที่มาจากกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ.2568
ชายแดนไทย-เมียนมา 76.3% จำนวนต่างด้าวที่เข้ามารับบริการทั้งสิ้น 570,000 ครั้ง ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้ 1,800 ล้านบาท
ชายแดนไทย-กัมพูชา 12% จำนวนต่างด้าวที่เข้ามารับบริการทั้งสิ้น 160,000 ครั้ง ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้ 277 ล้านบาท
ชายแดนไทย-ลาว 7.8% จำนวนต่างด้าวที่เข้ามารับบริการทั้งสิ้น 100,000 ครั้ง ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้ 180 ล้านบาท
ชายแดนไทย-มาเลเซีย 4% จำนวนต่างด้าวที่เข้ามารับบริการทั้งสิ้น 41,000 ครั้ง ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้ 93 ล้านบาท
สิ่งเหล่านี้ เป็น “ข้อมูลข่าวสาร” ที่ไทยควรสื่อสารไปบนสนามรบที่เรียกว่า “สนามข่าว” ด้วย มิใช่นั่งหงอ รอกัมพูชารุก แล้วคอยตามแก้อย่างที่เป็นอยู่ !!
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี