คดีความอันเกิดจากพระสงฆ์ยักยอกเงินวัด หรืออมเงินวัดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และเกิดมาแล้วยาวนาน แต่ปัญหานี้ไม่เคยถูกแก้ไขหรือขจัดให้หมดสิ้นไป เพราะยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยนิยมถวายเงินพระสงฆ์ แต่ที่สำคัญคือเมื่อถวายเงินแล้ว ก็ไม่เคยตรวจสอบว่าพระสงฆ์ใช้เงินไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสมกับสมณสารูปหรือไม่ โดยบางคนอ้างว่า เมื่อถวายไปแล้ว ท่านจะไปใช้ทำอะไร ก็เป็นเรื่องของท่าน หรือบางคนก็อ้างว่า คิดว่าถวายให้ผ้าเหลืองไปก็แล้วกัน ถ้าอ้างกันแบบนี้ก็จบกัน เพราะหมายความว่าไม่รับผิดชอบอะไรอีกต่อไป ทั้งๆ ที่ต้องตำหนิคนที่ชอบถวายเงินพระสงฆ์ เพราะมันคือต้นเหตุทำให้พระสงฆ์ปฏิบัติตนผิดไปจากพุทธบัญญัติ
เมื่ออ้างพระวินัยของพุทธศาสนา ต้องยึดถือว่าพระสงฆ์ไม่สามารถถือครองเงินสดและทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากผ้าไตรจีวร บาตร ย่ามเท่านั้น หากเป็นเงินแล้วต้องให้ไวยาวัจกรดูแล โดยไวยาวัจกรจะเป็นผู้ปวารณาพระสงฆ์เมื่อสมควร เพราะฉะนั้น พระสงฆ์ที่แท้จริงต้องสละเงินทองและทรัพย์สมบัติทั้งปวง
แต่ต้องบอกว่า พระสงฆ์ไทยยุคนี้น้อยรูปมากที่จะยึดมั่นในพระวินัย แต่เรากลับเห็นว่าพระสงฆ์จำนวนมิใช่น้อยต่างสะสมโภคทรัพย์ เงินทอง ข้าวของ สมบัติ รถยนต์ตู้เย็น ทีวี เครื่องเสียง และอีกสารพัดสิ่งไว้จนเต็มกุฏิ บางรายยังผ่องถ่ายทรัพย์สิน เงินทองไปให้ญาติพี่น้อง หรือบรรดากิ๊กทั้งชายหญิง (ขึ้นกับรสนิยมทางเพศของคนโกนหัวห่มผ้าเหลือง)
แน่นอนว่าพระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นท่านไม่สะสมเงินทอง และโภคทรัพย์ใดๆ แต่ก็มิได้หมายความว่าท่านไม่ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต เพราะท่านก็ยังต้องเดินทางไปทำกิจธุระต่างๆ ต้องไปหาหมอเวลาท่านอาพาธ ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า ประปา ค่าของต่างๆ ในวัด จึงจำเป็นที่พระสงฆ์ต้องมีเงินสำหรับใช้จ่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าพระสงฆ์ต้องเป็นผู้เก็บงำเงินทองต่างๆ ไว้กับตนเอง ดังนั้น จึงต้องมีไวยาวัจกร แต่ก็ต้องเลือกไวยาวัจกรที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ แล้วยังต้องมีคณะกรรมการดูแลเงินทองและทรัพย์สินของวัดด้วย เพราะหลายกรณีก็กลายเป็นว่าไวยาวัจกรคือคนที่ยักยอกเงินและทรัพย์สมบัติของวัด
บางคนอาจจะบอกว่าก็เมื่อคนได้ถวายเงินพระสงฆ์แล้ว เงินนั้นก็ต้องเป็นของพระสงฆ์ คำตอบคืออาจจะใช้ แต่มิได้หมายความว่าพระสงฆ์ต้องเก็บเงินไว้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีคำถามว่า แล้วพระสงฆ์นำเงินไปฝากธนาคารได้หรือไม่พระท่านตอบว่า ไม่ควร เพราะการฝากเงินในชื่อของพระสงฆ์ก็หมายความว่าเงินนั้นเป็นของพระสงฆ์ การที่สงฆ์ได้รับเงินจากญาติโยม หมายความว่าญาติโยมต้องการถวายเงินให้พระก็จริง แต่พระสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัย โดยนำเงินที่ญาติโยมถวายเข้าสู่กองกลางของวัด แล้วต้องมีผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ และทำบัญชีอย่างโปร่งใสว่านำเงินไปใช้เพื่อการใด
สำหรับกรณีที่เพิ่งกลายเป็นข่าวที่วัดไร่ขิง นครปฐม เป็นเรื่องที่สาธารณชนวิพากษ์ว่า มันคือปัญหาบนยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะหากค้นกันจริงๆ แล้ว ก็น่าจะพบว่ามีปัญหาที่อาจจะหนักหน่วงยิ่งกว่าปัญหาที่เกิดกับพระสงฆ์วัดไร่ขิงด้วยซ้ำไป
คำถามคือทำไมพระที่ตกเป็นข่าว (ปัจจุบันลาสิกขาไปแล้ว) จึงสามารถใช้จ่ายเงินได้มากมายตั้ง 300 ล้านบาท(แต่ข่าวบอกว่าน่าจะมากกว่า 300 ล้านบาท) คำถามต่อมาคือ ไม่มีเจ้าหน้าที่ของวัดที่ดูแลเรื่องการเบิกจ่ายเงินของวัดหรืออย่างไร ทำไมปล่อยให้พระสงฆ์ครอบครองเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาทได้ ถามย้ำว่าทำไมกรรมการวัดไร่ขิงจึงปล่อยให้เงิน 300 ล้านบาทถูกใช้ได้โดยง่ายดายโดยพระสงฆ์ แต่ให้พระรูปนั้นเป็นเจ้าอาวาสของวัดก็ตาม ก็ยังต้องผ่านกระบวนการเบิกจ่ายเงิน เพราะฉะนั้น จึงมีการตั้งคำถามว่า การทุจริตเงิน 300 ล้านบาทในครั้งนี้ น่าจะทำกันเป็นกระบวนการ
ส่วนประเด็นที่ว่าอดีตพระดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับเรื่องชู้สาวหรือไม่ เรื่องนี้ยังต้องติดตามดูและสืบสาวเรื่องราวกันต่อไป แต่ข่าวบอกว่านำเงินไปเล่นพนันออนไลน์ ก็ต้องบอกว่าคนดังกล่าวน่าจะหมดสิ้นหรือขาดจากความเป็นพระสงฆ์ตั้งแต่วันแรกที่เล่นพนันแล้ว เนื่องจากเล่นพนัน ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องประกาศลาสิกขาก็ควรจะนับว่าขาดจากความเป็นสมณเพศไปแล้ว
ประเด็นสำคัญที่สังคมไทยควรจะต้องให้ความสนใจและร่วมกันกำจัดปัญหาความเน่าเฟะในวัดก็คือต้องร่วมกันดูแลพฤติกรรมของพระสงฆ์ รวมถึงคนกลุ่มต่างๆ ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทอง และทรัพย์สมบัติของวัด
ขอย้ำว่าเงินของวัดไม่ใช่เงินของพระสงฆ์ แม้พระสงฆ์บางรายจะอ้างว่าญาติโยมเขาถวายเงินให้ฉัน ก็ยังไม่ถือว่าเงินนั้นเป็นของสงฆ์ แต่ต้องเป็นเงินส่วนกลางของวัด เพราะหากคนคน นั้นไม่ได้ครองเพศบรรพชิต ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีใครถวายเงินทอง หรือข้าวของให้ หากไม่เชื่อก็จงลาสิกขา แล้วดูกันว่าจะยังมีญาติโยมหน้าไหนนำเงินทอง ข้าวของไปถวายให้อีกหรือไม่
เพราะฉะนั้น เงินที่ญาติโยมถวายพระสงฆ์จึงไม่ใช่ของสงฆ์รูปนั้นๆ แล้วต้องไม่ลืมว่าสงฆ์ที่จำพรรษาในวัด ไม่ได้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าที่อยู่ให้วัด ดังนั้น จึงจะอ้างว่าตนเองได้เงินมาเพราะว่าญาติโยมถวายให้ไม่ได้ เพราะการมีรายได้ของสงฆ์เกิดมาจากสงฆ์อาศัยอยู่ในวัด และเพราะความเป็นสงฆ์จึงมีผู้คนเลื่อมใส เคารพกราบไหว้ถวายเงิน และข้าวของให้
ขอย้ำว่าปัญหาที่เกิดกับวัดไร่ขิง มิใช่เป็นเพียงปัญหาเดียวเท่านั้นที่เกิดกับวัดและสงฆ์ในประเทศไทย เพราะคนที่ติดตามเรื่องราวไม่ปกติภายในวัดต่างๆ โดยเฉพาะวัดดังๆ วัดใหญ่ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปวัดนั้น ก็อาจจะมีปัญหาไม่ต่างกัน เพียงแต่ยังไม่มีใครพบปัญหา หรือเป็นเพราะว่าเรื่องเน่าเฟะยังไม่แตกให้ปรากฏต่อสาธารณะ
คำถามคือ เราเคยทราบไหมว่าในแต่ละวัน วัดต่างๆ ในไทยได้รับเงินบริจาคจากผู้คนกี่บาทกี่สตางค์ แล้วเราเคยสงสัยไหมว่า พระสงฆ์ได้รับเงินที่ผู้คนถวายให้วัดละร้อยกี่พันบาท ย้ำว่าเฉพาะวัดใหญ่ๆ วัดดังๆ เท่านั้น ส่วนวัดเล็กๆ ก็คงเห็นแล้วว่า บางวัดไม่มีคนเข้าไปในวัดมากนัก ยกเว้นจะมีงานศพงานเมรุ หรือมีงานบุญสำคัญของวัดเท่านั้น ที่จะมีผู้คนเข้าไปวัดบ้าง แต่สำหรับวัดใหญ่ๆ วัดดังๆ จะมีผู้คนหลั่งไหลเข้าวัดทุกวัน แล้วเราก็จะเห็นว่าในวัดมีตู้รับบริจาคตั้งกระจายอยู่ทั่ววัด คำถามคือวัดเคยแจ้งประชาชนหรือชาวบ้านไหมว่า ในแต่ละวันมีผู้บริจาคเงินใส่ตู้ให้วัดเป็นเงินจำนวนเท่าไร หรือในงานศพนั้น เราจะเห็นว่าภาพงานศพต้องถวายเงินให้พระที่ไปสวดหน้าศพ คำถามคือพระสงฆ์ที่ได้รับเงินใส่ซองนำเงินที่ได้ไปเข้ากองกลางของวัดหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะแต่ละรายต่างก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
ดังนั้น หากใครที่มีโอกาสเข้าไปในบริเวณกุฏิของพระสงฆ์จำพวกอู้ฟู่แล้วจะพบว่ามีการเก็บสะสมทรัพย์สินต่างๆ ไว้มากมาย ทั้ง เครื่องปรับอากาศ พัดลม ทีวี ตู้เย็น สเตอริโอ คอมพิวเตอร์ ของใช้ของกินต่างๆ ผ้าไตรจีวร และบรรดาสิ่งต่างๆ จนเกินจะบรรยาย อีกทั้งยังพบว่าพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยนอนบนที่นอนสูงใหญ่ที่ผิดจากพระวินัย บางรายมีอ่างแช่ตัวสำหรับอาบน้ำ บางรายมีเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวกที่มากเกินความจำเป็นของสงฆ์ เพราะสงฆ์ควรต้องอยู่แบบสมถะ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่บอกได้คำเดียวว่า หาได้ยากมากในพระสงฆ์ส่วนใหญ่ของไทย
นอกจากนั้นยังพบว่ามีปัญหาคนที่ถูกเรียกว่าสงฆ์ แล้วประพฤติผิดในกาม บางรายมีเพศสัมพันธ์กับหญิง บางรายมีกับชาย บางรายมีกับคนห่มเหลืองด้วยกันเอง สารพัดสารพันจะบรรยายความพิกลพิการของคนโกนหัวห่มเหลืองจำพวกอลัชชี กาลีพระศาสนา
แต่ก็มิได้หมายความว่าพระสงฆ์ทั้งหมดจะเลวทรามต่ำช้าสารเลว เพราะยังคงมีพระสงฆ์ดีๆ ที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้ เพียงแต่พระสงฆ์ดีๆ ท่านไม่โฆษณาป่าวประกาศตัวเองว่าท่านดี เพราะท่านเน้นการปฏิบัติ เน้นการศึกษาพระธรรมวินัย และบางรูปก็เน้นการอุทิศตนเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งสงฆ์ดีๆ เหล่านี้ยังคงเป็นเสาหลักให้กับพุทธศาสนาโดยแท้
เราสมควรจะต้องมาช่วยกันกำจัดเหลือบมอดที่รุมกัดกินทำลายพระศาสนาให้หมดไป ด้วยการสอดส่องดูพฤติกรรมของสงฆ์ให้ใกล้ชิดมากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าไปมองว่าชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ หรืออ้างว่าเห็นแก่ผ้าเหลือง และที่สำคัญคือเราต้องเลิกการให้เงิน หรือถวายเงินกับพระสงฆ์ แต่หากมีคำถามว่า แล้วหากท่านจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการใดๆ ก็ตาม ท่านจะทำอย่างไร ก็ตอบว่า เราต้องช่วยกันดูแลให้ลึกลงไปถึงกรรมการวัด ไวยาวัจกร เพราะคนเหล่านี้คือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเงินและทรัพย์สมบัติของวัด
การถวายเงินพระสงฆ์เป็นเรื่องจำเป็นหากเรามั่นใจว่าท่านใช้เงินนั้นอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามหลักพระวินัย แล้วที่สำคัญคือเราต้องยุติการกราบไหว้และให้ความเคารพกับสงฆ์ที่ประพฤติตัวผิดพระวินัย เช่น สงฆ์ที่เพ่นพ่านไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งอโคจร แล้วต้องไม่สนับสนุนสงฆ์จำพวกมีรถยนต์ประจำตัวประจำกุฏิ
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เราทุกคนต้องไม่เข้าไปสนับสนุนให้สงฆ์ทำผิดพระวินัย ต้องไม่เข้าไปใกล้ชิดจนเกินงามกับสงฆ์ เช่น ผู้หญิงก็ต้องเลิกเข้าไปใกล้ชิดกับสงฆ์ และในยุคนี้แม้กระทั่งผู้ชายก็ต้องไม่เข้าไปยุ่มยามกับพระสงฆ์มากเกินไป เพราะคนโกนหัวห่มเหลืองบางคนก็มีพฤติกรรมหลวงเจ๊ อย่างชัดเจน
ศาสนาพุทธจะดำรงต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแรงได้ก็ด้วยความเอาใจใส่ของบรรดาพุทธศาสนิกชน หากเราไม่ทำลายพระศาสนา พระพุทธศาสนาก็จะดำรงคงอยู่อย่างดีและมั่นคง เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของเราทุกคนได้อย่างดี
ขอย้ำว่า ปัญหาที่เกิดกับวัดไร่ขิง มิใช่ปัญหาสุดท้ายหรือปัญหาเดียวที่เกิดกับพระพุทธศาสนา แต่ผู้เขียนมั่นใจว่ายังมีปัญหาทำนองนี้ หรือปัญหาที่ยิ่งใหญ่สาหัสกว่าที่เกิดขึ้นนี้ฝังรากลึกอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ ของไทย
เราจะอยู่ในสังคมนี้กันอย่างไร ในเมื่อพระสงฆ์บางรูปก็เลวทราม นักการเมืองจำนวนไม่น้อยก็เลวทราม ข้าราชการจำนวนไม่น้อยก็เลวทราม ครูบาอาจารย์จำนวนไม่น้อยก็เลวทราม นักข่าวจำนวนไม่น้อยก็เลวทราม มิหนำซ้ำ คนไทยจำนวนไม่น้อยก็เลวทราม แต่เชื่อว่าเรายังคงน่าจะอยู่ในสังคมต่อไปได้ หากเราไม่ทำตัวเลวทรามไปด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี