(สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำคำกล่าวและข้อเสนอของ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเวทีเสวนา “สังคมไทยจะก้าวพ้นความเหลื่อมล้ำ สู่ความเป็นธรรมในที่ดินอย่างยั่งยืนได้อย่างไร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมหกรรม “ที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤติที่ดินไทย” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบกัน รวมถึงเมื่อจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ก็อาจเป็นแนวทางให้พรรคต่างๆ นำไปจัดทำนโยบายได้)
ถ้าพูดถึงในระยะยาว พูดถึงเชิงหลักคิดเรื่องพฤติกรรม หรือพูดให้ไกลกว่าการเก็บภาษี หลายๆ ท่านได้พูดบ่อยๆ ว่าปัญหาสำคัญทุกวันนี้คือ “ที่ดินถูกทำให้เป็นสินค้า ที่ดินกลายเป็นสินทรัพย์เพื่การเก็งกำไร” อันนี้เป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหา“ทำอย่างไรที่ไม่ให้ที่อยู่อาศัยกลายเป็นสินค้า มันต้องเป็นทรัพยากรที่แจกจ่ายได้อย่างทั่วถึง” ถ้าพูดในเชิงหลักการต้องพูดในเรื่องนี้
หลายท่านพอพูดถึงที่ดินก็จะนึกถึงที่ดินทำกินในภาคเกษตร แต่ “ที่ดินของคนเมืองที่เป็นปัญหาสำคัญคือที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย” นอกจากที่ดินถูกทำให้เป็นสินค้าแล้ว ปัญหาสำคัญที่คนจนไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคงได้ หรือ “คนส่วนใหญ่ที่ซื้อบ้านในราคาแพงรากของปัญหาคือที่อยู่อาศัยถูกทำให้กลายเป็นสินค้าเช่นกัน” ในประเทศที่เป็นสวัสดิการสังคม การศึกษา การรักษาพยาบาล ในสังคมไทยเราค่อนข้างจะยอมรับว่าการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้ การรักษาพยาบาลต้องทั่วถึงทุกคนเข้าถึงได้
เราต้องมองเห็นว่าที่อยู่อาศัยก็ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน “ในประเทศที่มีสวัสดิการที่ดีอย่างเนเธอร์แลนด์ (ฮอลแลนด์) ไม่ยอมให้มีการเก็งกำไรที่ดินอย่างเด็ดขาด” ปัญหาสำคัญคือคนที่มีสตางค์แล้วกลัวว่ามูลค่าของเงินตัวเองจะลดลง อยากจะหากำไรจากเงินก็เอาเงินไปซื้อที่ดินมากักตุนไว้ หัวใจสำคัญคือต้องลดทอนหรือไม่อนุญาตเลยให้กักตุนที่ดิน ให้ทุกคนรู้เหมือนกันหมดว่าเราจะไม่มีการกักตุนที่ดิน ที่ดินมันต้องกระจาย
“การลงทุนในที่ดินมันต่างจากการลงทุนผลิตสินค้าอื่นๆ การลงทุนผลิตสินค้าจะผลิตอะไรคุณก็ไปสร้างเทคโนโลยีมา แต่ที่ดินการลงทุนคือคุณไปฮุบส่วนแบ่งที่ควรแจกจ่ายให้คนอื่น เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจำกัดไม่ให้มีการเก็งกำไร ขั้นตอนนี้ในระบบทุนนิยมรัฐแทรกแซงได้ด้วยการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า คุณมีที่ดินมากคุณต้องเสียภาษีเยอะๆ มันจะได้ Force (บังคับ) ให้ไม่กักตุน ถ้าลดตรงนี้ปัญหาต่างๆ จะเบาไปได้เยอะ
ที่มีคำพูดว่าคนสลัมบุกรุก การบุกรุกจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าที่ดินถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ มันจะไม่มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้บุกรุก แล้วผมอยากให้พูดใหม่ ผมทำงานมา 10-20 ปี ชาวบ้านเขาบอกอย่าเรียกว่าบุกรุก ให้เรียกว่าบุกเบิก เขาไม่ได้งัดประตูบ้านเข้าไป ไม่ได้งัดรั้วเข้าไป ที่ดินที่ชาวบ้านเขาบุกเบิกที่ดินที่ปล่อยให้รกร้าง เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีเจ้าของ รากปัญหาสำคัญมันคือการปล่อยให้มีการเก็งกำไร ปล่อยให้มีการถือครองที่ดินอย่างเสรี”
แล้วคนจำนวนมากก็เดือดร้อนไม่ใช่เฉพาะคนจน “คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย เราซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่แพงมาก” กว่าจะผ่อนหมด แล้วที่สำคัญคือคนที่ผ่อนไม่หมดล่ะ? “คุณเกิดอุบัติเหตุในชีวิต ตกงานก็โดนยึดบ้าน” โครงสร้างทั้งหมดนี้มันทำให้ทุกคนเดือดร้อน “แม้แต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็บอกว่าเหนื่อย ทำบ้านแพงขึ้นทุกปีเพราะที่ดินแพง” ฉะนั้นเราต้องทำลายระบบนี้
เราเลิกเก็งกำไรที่ดินกันไหม? “คุณมีเงินเยอะคุณไปลงทุนอย่างอื่น ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสังคม” คุณผลิตเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าแต่ไม่ใช่ไปยึดที่ดินเพราะที่ดินมีจำกัด “ถ้าผมมีอำนาจผมจะทำเป็นขั้นๆ ให้เวลาภายใน 10 ปี” เรามีแผนอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าหลังปี 2570 จะไม่มีใครถือครองที่ดินเกินความจำเป็น “ระหว่างนี้คนที่คิดจะซื้อกักตุนก็เลิกซื้อเพราะที่ดินจะไม่มีราคา ส่วนคนที่มีอยู่ก็ต้องค่อยๆ ปล่อย” ไม่ต้องเรียกร้องแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
“ผมมีปัญญาซื้อบ้านเพราะสอนที่ธรรมศาสตร์รังสิต มันก็พอไหว แต่ถ้าผมอยู่ในเมือง ไปดูราคาคอนโดฯติดรถไฟฟ้าที่เป็นความฝันของหลายคน ใครจะไปเชื่อว่าราคา 3.5 ล้าน-4 ล้านบาท กับห้อง 30-40 ตารางเมตร ทำไมมันแพงขนาดนี้? ถ้าเราไม่ทำให้เกิดการเก็งกำไรที่ดิน อย่าทำให้เป็นสินค้าแต่ให้เป็นสิทธิที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แล้วเราจะได้ประโยชน์ร่วมกัน”
เรากำลังต่อสู้กับวิธีคิดว่าที่ดินเป็นสินค้าหรือที่ดินเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนหวังกำไรในอนาคต สิ่งที่เราสู้คือจะปลดความคิดนี้ หากถามว่าอะไรคืออุปสรรค?สิ่งสำคัญคืออุปสรรคเชิงความคิด “เราอยู่ในโลกทุนนิยมที่คิดว่าทรัพยากรถูกเอาไปใช้เพื่อก่อกำไรสูงสุด”ผมคิดว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าสัก 10 ปีข้างหน้าเราจะไม่มีโครงสร้างแบบนี้เกิดขึ้นในระยะยาว 10 ปีข้างหน้าเราให้เวลาคุณผ่องถ่าย
หลายๆ ท่านพูดถึงที่ดินเกษตรกรรมของหน่วยงานรัฐ“ในเมืองก็มีที่ดินของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก ที่มีประชาชนอยู่อาศัยหรือยังไม่อยู่อาศัยก็ตาม” ผมคิดว่ายังไม่ต้องไปถึงพื้นที่เอกชน “ที่ดินรัฐที่มีคนอยู่ทำอย่างไรจะให้เขาอยู่อย่างถูกกฎหมาย ทำอย่างไรจะคุ้มครองเขา”ประชาชนอยู่ในที่ดินรัฐแต่ไม่มีสัญญาเช่า เขาไม่มีความมั่นคง “ประชาชนอยากจะมีสัญญาเช่ากับรัฐแต่ขอเช่าระยะยาว 30 ปี เขาต่อสู้กับหน่วยงานรัฐที่มองว่าถ้าให้เอกชนเช่าจะได้ค่าเช่าแพงกว่า” ที่เราต้องต่อสู้คือต้องเลิกคำนึงถึงกำไรจะได้มากได้น้อย
การใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต ให้คนได้มีที่อยู่อาศัย มันควรให้คุณค่าสูงกว่ามูลค่าที่เป็นเม็ดเงินเท่านั้นโดยเฉพาะที่ดินรัฐ ผมอยากจะพูดถึง สิงคโปร์ ตอนที่ ลีกวนยู สร้างประเทศ เขาให้ความสำคัญกับนโยบายที่อยู่อาศัยมาก มันเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมาก ประชาชนอยู่ในที่อยู่อาศัยของรัฐที่จัดหาให้ในราคาถูก กลายเป็นพลเมืองที่ภักดีต่อพรรคนี้พรรคเดียว เราจะรู้ว่าพรรคนี้ครอบครองมา 40 - 50 ปี
“เหตุที่สิงคโปร์ทำได้เพราะตอนได้รับเอกราช ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของรัฐ แล้วเขาก็ตั้งเป้าว่าที่ดินส่วนนี้จะเอาไปจัดลำดับความสำคัญแรกๆ ว่าให้พลเมืองของเขาได้มีที่อยู่อาศัย เขาสามารถทำที่อยู่อาศัยในราคาถูกให้คนเข้าไปอยู่ได้ นี่คือความสำคัญของการจัดลำดับความสำคัญ ถ้าเราตระหนักเรื่องนี้จริงๆ อันนี้เป็นหลักแรกๆ ในการให้พลเมืองมีที่อยู่อาศัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้รับรองอยู่ในรัฐธรรมนูญแต่ว่าไม่ได้ทำ”
แล้วยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ผมคิดว่าพวกเขาถูกละเลยคือ “คนที่เช่าที่อยู่อาศัยราคาถูกแต่ด้อยคุณภาพ” เราจัดการที่อยู่อาศัยตามกลไกตลาด “คนจนจะไปเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ก็ทำไม่ได้ คุณก็จะเห็นบ้านแบ่งเช่า จะเห็นบ้านแบ่งซอยเล็กๆ บ้านหลังหนึ่งซอยเป็นสิบห้อง มีห้องน้ำห้องเดียว” คนเหล่านี้ถูกมองข้ามในสังคมไทย
ผมคิดว่าถ้ามีประชาธิปไตย..ก็คิดว่าจะให้ทุกคนได้คุยเรื่องเหล่านี้กันบ้าง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี