“คนไร้บ้าน (Homeless)” เป็นคำสุภาพที่ใช้เรียกบุคคลที่กินอยู่หลับนอนบนพื้นที่สาธารณะ แทนคำว่า“คนเร่ร่อน-คนจรจัด” ที่มีความหมายในเชิงลบ คนไร้บ้านเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปตามเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึง กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งล่าสุดมีการแถลงตัวเลขโดย มูลนิธิอิสรชน อันเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ทำงานด้านคนไร้บ้านมากว่า 2 ทศวรรษ พบว่าในปี 2561มีคนไร้บ้านในกรุงเทพฯ จำนวน 3,993 คน เพิ่มขึ้น 363 คน หรือราวร้อยละ 10 จากปี 2560
อัจฉรา สรวารี เลขาธิการมูลนิธิอิสรชน ในฐานะผู้แถลงตัวเลขดังกล่าวให้ความเห็นว่า แม้การเพิ่มขึ้นของคนไร้บ้านข้างต้นจะดูไม่มากนักแต่ภาพปัญหาชัดเจนมากขึ้นเนื่องมาจาก “นโยบายจัดระเบียบเมือง” ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ “คนไร้บ้านเคยรวมกันอยู่ไม่กี่แห่งอย่างพาหุรัด สนามหลวง คลองหลอด พอเกิดการจัดระเบียบแทนที่จะช่วยพวกเขาได้ แต่กลับทำให้คนเหล่านี้กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ” อาทิ ตามสถานีรถไฟฟ้า ตามสวนสาธารณะต่างๆ หรือไปถึงจังหวัดในปริมณฑล เช่น สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี
ขณะที่ โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ในฐานะประธานมูลนิธิอิสรชน กล่าวว่า คนไร้บ้านเป็นกลุ่มชายขอบที่สุดในสังคมไทย มีผู้ให้ความสนใจช่วยเหลือน้อยมาก “หากเทียบกับการบริจาคช่วยเหลือหมาแมว ยังมีคนสนใจบริจาคให้มากกว่าการช่วยเหลือคนไร้บ้าน” และยังพบด้วยว่า “คนไร้บ้านมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่งอมืองอเท้าคล้ายพวกขอทาน” ทั้งที่ขอทานเป็นอาชีพที่ไม่สุจริตทางหนึ่ง เป็นการละเมิดสิทธิเด็ก เป็นอาชญากรรม
อีกทั้งผู้เข้ามาขอทานมักมาจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนคนที่ออกมาเร่ร่อนนอนข้างถนน คงต้องมีปัญหาทางเศรษฐกิจและจิตใจอย่างรุนแรงหรือหมดทางเลือกเพราะคงไม่มีใครอยากนอนข้างถนนเช่นนี้ ซึ่ง “ปัญหาสำคัญของคนไร้บ้านประการหนึ่งคือจำนวนมากไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ทำให้เข้าไม่ถึงสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ” ยิ่งในกรณีเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางจิต ก็ยิ่งทำให้คนไร้บ้านประสบความยากลำบาก
ทั้งนี้ “อายุขัยของคนไร้บ้านมักสั้นกว่าคนทั่วไป”กล่าวคือในขณะที่ประชากรไทยมีอายุขัยอยู่ประมาณ 75.1 ปี แต่คนไร้บ้านน่าจะมีอายุขัยต่ำกว่านี้มาก เชื่อว่าอาจมีอายุประมาณไม่ถึง 50 ปี โดยอาจเปรียบเทียบกับ สหราชอาณาจักร ที่ผลสำรวจล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2561 พบว่า “คนไร้บ้านในอังกฤษมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 44 ปีเท่านั้น” ซึ่งโสภณมองว่านโยบายจัดระเบียบกรุงเทพฯ ยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาคนไร้บ้าน
“การจัดระเบียบเมืองให้สวยงามเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรที่จะปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนอย่างเป็นระบบด้วย การไล่คนเร่ร่อนให้พ้นไปจากเกาะรัตนโกสินทร์โดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ทำให้เกิดการแพร่กระจายคนเร่ร่อนและอาจสร้างปัญหาเพิ่มเติม ทางราชการควรจัดหาที่อยู่อาศัยให้คนเร่ร่อนเพื่อหวังพวกเขาสามารถปรับตัวเข้าสู่สังคมปกติได้ ไม่ใช่ให้พวกเขาอยู่ในบ้านพักอย่างถาวร” โสภณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้น่าเห็นใจเจ้าภาพอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณค่อนข้างน้อย โสภณ ระบุว่า “ในปีงบประมาณ 2562 พม. ได้งบประมาณจำนวน 12,863,513,700 บาท คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.4 ของงบประมาณทั้งหมดในปี 2562 จำนวน 3 ล้านล้านบาท” การที่รัฐบาลเจียดงบประมาณให้กับสวัสดิการสังคมน้อย คนไร้บ้านจึงไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
อนึ่ง หากเพียบสถิติกับเมือง นิวยอร์ก (New York) สหรัฐอเมริกา ที่มีคนไร้บ้านจำนวน 64,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 0.78 ของประชากรในนิวยอร์กจำนวน 8,175,133 คน การที่คนไร้บ้านในกรุงเทพฯ มีเพียงราว 4,000 คน จึงน้อยกว่ามากและไม่ยากในการแก้ไข โดยค่าใช้จ่ายในการแก้ไขอาจเป็นเงินคนละ 500 บาทต่อวัน โดยแยกเป็นค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ที่พักชั่วคราว การประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การจัดหางาน ฯลฯ หรือคิดเป็นเงินปีละ730 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1 ของงบประมาณแผ่นดินของ กทม. เท่านั้น
ย้อนไปในช่วงปลายปี 2559 มีการเผยแพร่งานวิจัย “พลวัตความหมายคำว่าบ้านของคนไร้บ้าน” ผลงานของ ญาณิกา อักษรนำ ซึ่งลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของบรรดาคนไร้บ้านและอดีตคนไร้บ้าน ณ ศูนย์คนไร้บ้านบางกอกน้อย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ “ที่นี่เกิดขึ้นจากความคิดของคนไร้บ้าน และบริหารจัดการโดยคนไร้บ้าน” มีการทำร้านค้าในชุมชนรวมถึงแปลงปลูกผัก
ความน่าสนใจของผลการศึกษานี้อยู่ที่ประเด็น“ทำไมคนไร้บ้านไม่อยากไปอยู่ในสถานที่ที่รัฐจัดให้?”ซึ่งผู้วิจัยมองว่าอาจเป็นเพราะ “สถานสงเคราะห์ของรัฐกฎระเบียบแข็งทื่อมากเกินไป” เช่น จะกินข้าวก็ต้องกินเป็นเวลา เช้า กลางวัน เย็น แล้วก็ห้ามไปไหน เวลานี้ฝึกอาชีพ เวลานั้นฝึกอบรม ขณะที่ศูนย์คนไร้บ้านบางกอกน้อย แม้จะมีกฎระเบียบถึง 10 ข้อ อาทิ 1.ห้ามพูดจาเสียดสีกัน 2.รักษาความสะอาด 3.ห้ามหยิบของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ห้ามเล่นการพนัน 5.ห้ามประพฤติผิดทางเพศ เช่น คบชู้ ผิดลูกผิดเมีย
6.ห้ามทะเลาะวิวาท 7.ห้ามส่งเสียงดังในยามวิกาล หลัง 22.00 น. ไปแล้ว 8.ห้ามดื่มสุราในศูนย์ หากดื่มจนเมามาจากข้างนอก ห้ามเข้ามาก่อความวุ่นวายในศูนย์ 9.ห้ามลักขโมย และ 10.ต้องร่วมกิจกรรมเพื่อส่วนรวม “แต่กฎระเบียบของศูนย์ที่คนไร้บ้านบริหารจัดการเองนั้นยืดหยุ่นกว่า” มีทั้งกฎที่ไม่เคร่งครัดมาก เช่น ห้ามพูดจาเสียดสีกัน คนในชุมชนก็จะด่าทอกันตรงๆ และกฎที่เคร่งครัดจริงจังคือห้ามดื่มเหล้า-เล่นการพนันในพื้นที่ศูนย์ รวมถึงต้องเข้าร่วมกิจกรรมสร้างความสามัคคีของศูนย์ ด้วย
“การมาอยู่ที่ศูนย์นี่แบบไม่ต้องถูกบังคับมาก การเคารพให้เกียรติก็ไม่ได้ถูกบังคับว่าคุณต้องเคารพคนนี้เป็นหัวหน้า แต่มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คือคนนี้แสดงให้เห็นว่าเขานำทำกิจกรรมได้ เขาปกป้องสิทธิให้คนอื่นๆ ได้ หรือคนนั้นทำกับข้าวอร่อย ทำเลี้ยงทุกคนได้” ญาณิกา กล่าว (“อิสระ-มั่นคง-อบอุ่น-มีสุข” คำนิยาม “บ้าน” ในมุม “คนจร” : “สกู๊ปแนวหน้า” หน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 17 พ.ย. 2559)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี