เมื่อเร็วๆ นี้ “นสพ.แนวหน้า” นำเสนอข่าวในประเด็น “ผู้สูงอายุกับหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังถูกพูดถึงกันไม่มากนักในเชิงนโยบาย และสังคมไทยเองก็ยังไม่ค่อยตระหนักเมื่อเทียบกับประเด็นอื่นๆ ในยามที่นึกถึงภาวะสังคมสูงวัย (Aging Society) โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ศาสตราภิชานแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต และประธานคณะกรรมการสนับสนุนการพัฒนานโยบายรองรับสังคมสูงวัยได้เตือนว่า “หากไม่เตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าปัญหาจะรุนแรงขึ้น” จากคนวัยทำงาน อายุ 40 ปีขึ้นไปในปัจจุบันที่จะมีอายุมากขึ้นในอนาคต
“เหตุมันจะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าปีที่จะเกิดปัญหาหนัก คน 40-50 ปีปัจจุบัน วันนั้นคงจะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งมีคนออกมาจำนวนมากมหาศาล อีกสิบกว่าปีเราจะมีถึง 1 ใน 3 ของคนในประเทศที่เป็นผู้สูงอายุ คนวัยทำงานน้อยลง เด็กเกิดน้อยลงและเกิดจากคนที่ไม่ค่อยพร้อม” (สังคมสูงวัย “แก่ก่อนรวย” ไม่ต้องเกษียณก็มีผลกระทบ : สกู๊ปหน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ. 2562)
ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนา “รัฐบาลใหม่กับการรับมือสังคมสูงวัย ภาระที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญ” ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ ภายในกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี เชิญตัวแทนพรรคการเมืองมากล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสังคมสูงวัย เนื่องในโอกาสที่กำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) วันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค. 2562 โดยได้รับการตอบรับจาก 4 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สังคมสูงวัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง หากมองโครงการแยกเป็นชิ้นๆ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และย้ำว่า “ต้องไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ แต่จะทำให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมและเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร” นโยบายจึงต้องครอบคลุมทั้งการดูแลสุขภาพเชิงรุก การสร้างโอกาสการมีงานทำ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และความมั่นคงทางการเงิน
ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบาย 1.ขยายอายุเกษียณโดยดูความเหมาะสมตามลักษณะงาน โดยมีมาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุมากขึ้น 2.เพิ่มโอกาสสร้างทักษะ จะมีคูปองปีละ 1 ล้านใบ มูลค่าใบละ 3,500 บาท ให้ผู้สนใจนำไปใช้เรียนวิชาชีพเพิ่มเติม เช่น ภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยี การประกอบการต่างๆ 3.การออมเชิงบังคับ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ 4.ปฏิรูประบบภาษี ยุติการลดภาษีให้บริษัทขนาดใหญ่ หากจะลดต้องเฉพาะกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อให้มีงบประมาณมาจัดทำสวัสดิการต่างๆ เพียงพอ
กอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า “สังคมไทยมีความรู้เกี่ยวกับสังคมสูงวัยดีอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยจะทำอะไรกันอย่างจริงจัง” โดยพรรคพลังประชารัฐวางนโยบายไว้หลายด้าน ประกอบด้วย 1.ขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 63 ปี เพราะหลายคนสุขภาพยังแข็งแรง 2.ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคมสูงวัย ที่ผ่านมามักพูดกันว่าการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นวิกฤติ แต่หากมองอีกมุมอาจเป็นโอกาสก็ได้ เพราะหากทำได้ดีจะกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง
3.สร้างงานให้ผู้สูงอายุ ตั้งเป้า 1 ล้านตำแหน่ง โดยมีการเตรียมตัวเพิ่มทักษะตั้งแต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน หรืออายุราว 45 ปี พร้อมสร้างแรงจูงใจเอกชนในการจ้างงาน 4.สำหรับกลุ่มต้องดูแล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังจำเป็น โดยปรับให้เป็นเดือนละ 1,000 บาท และปรับเบี้ยยังชีพผู้พิการเพิ่มเป็นเดือนละ 1,000 บาทเช่นกัน นอกจากนี้เสนอให้ “ดึงภาคประกันชีวิตและตลาดทุนเข้ามาสนับสนุน” ในการสร้างหลักประกันการออมและการลงทุนให้ผู้สูงวัย
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า “เมื่อมีนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ การหางบประมาณมาอุดหนุนจึงจำเป็น และพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับการหารายได้” เช่น ภาคการท่องเที่ยว พร้อมๆ ไปกับการยกระดับการทำงาน “ผู้สูงอายุต้องการอยู่อย่างมีค่าและมีศักดิ์ศรี” และในหลายประเทศมีการนำผู้สูงอายุมาช่วยงานในภาคการท่องเที่ยว อาทิ ในญี่ปุ่นมีการส่งเสริมผู้สูงอายุให้เป็นมัคคุเทศก์ หรือในสหรัฐอเมริกามีการให้ผู้สูงอายุมาอยู่ประจำศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เป็นต้น
อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยมีนโยบาย “สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่-คนวัยทำงาน” เพราะต้องทำงานหารายได้เข้าประเทศเป็นงบประมาณจัดสวัสดิการต่างๆ เช่น “กองทุนเถ้าแก่ใหม่” สนับสนุนผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีศักยภาพเติบโตเป็นผู้ประกอบการ “กองทุนคนเปลี่ยนงาน” เพื่อให้แรงงานเรียนรู้ทักษะสำหรับรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี “ปฏิรูปกองทุนที่เกี่ยวข้องกับการออม” เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ตัวแทนจากพรรคอนาคตใหม่ เสนอแนะว่า “ก่อนอื่นต้องผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล” ซึ่งเป็นกระแสโลกในอนาคต สร้างรายได้ให้ประเทศและลดปัญหาการเดินทางไกลของแรงงาน รวมถึง “พัฒนากิจการดูแลผู้สูงอายุ” หากทำได้ดีไม่ใช่เพียงดูแลผู้สูงอายุในประเทศเท่านั้นยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยเพราะประเทศไทยมีศักยภาพดูแลผู้สูงอายุทั่วโลกได้
เช่นเดียวกัน พรรคอนาคตใหม่มีนโยบาย “ส่งเสริมคนรุ่นใหม่พร้อมก้าวสู่ยุค 5.0” โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ก้าวหน้าไปมาก ซึ่งที่ผ่านมาการวิจัย AI มักทำกันภายในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ข้อมูลที่จะนำมาพัฒนาจึงไม่ใหญ่พอ อีกทั้งปฏิรูปการศึกษาให้คนไทยแข่งขันกับตลาดโลกได้ ไม่ใช่เป็นเพียงแรงงานรับจ้างผลิตอย่างที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน “ต้องมีรัฐสวัสดิการ” เปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ เริ่มต้นเดือนละ 1,800 บาท
ภายในงานยังนำเสนอข้อมูลจากวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ สิ้นปี 2560 พบว่า ประชากรไทยสูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 10.2 ล้านคน ขณะที่ประชากรไทยช่วงเตรียมสูงวัย อายุ 40-59 ปีมีจำนวน 19.6 ล้านคน จากประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรืออายุ 18 ปีขึ้นไปทั้งหมดราว 50.8 ล้านคน หรือมากกว่าครึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหมด ดังนั้นพรรคการเมืองต่างๆ จึงไม่อาจละเลยคนกลุ่มนี้
ต้องมี “นโยบายโดนใจและทำได้จริง” ซึ่งผลจะไม่ใช่แค่คะแนนเสียงที่พรรคการเมืองจะได้เท่านั้น แต่ยังทำให้สังคมไทย “สูงวัยอย่างมีคุณภาพ” อีกด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี