สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำข้อเสนอ “หนุนเกษตรไทยสู่เกษตรปลอดภัยและยั่งยืน” ซึ่งเผยแพร่โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สืบเนื่องจากภาคการเกษตรของประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตอาหาร แหล่งจ้างงานและสร้างรายได้ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของภาคเกษตรนำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน อาทิ ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ปัญหาการสูญเสียหน้าดินปัญหามลพิษทางน้ำและทางอากาศ เป็นต้น
เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีการนำแนวคิดสนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนมาใช้ในภาคเกษตรของไทย อย่างไรก็ดี การสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนสู่การผลิตที่ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ กฎหมาย ฯลฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ปรับเปลี่ยนมาใช้ปัจจัยการผลิตและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเรื่องนี้องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ประเทศไทย มอบหมายให้คณะทำงานของ TDRI ทำการศึกษา
กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการ TDRI เปิดเผยว่า ผลการศึกษา “มาตรการเพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภาคเกษตร” เสนอ 3 มาตรการสำคัญในการสนับสนุนการผลิตที่ยั่งยืนในภาคเกษตร 1.เน้นการแก้ปัญหาการทำเกษตรแบบไม่ยั่งยืนโดยบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตร ควรส่งเสริมให้เกษตรกรที่บุกรุกป่าปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวโดยใช้สารเคมีมาทำเกษตรแบบยั่งยืนเช่น ปลูกพืชผสมผสานแบบปราศจากสารเคมี โดยการดำเนินมาตรการดังกล่าวต้องแก้ไขข้อกฎหมายให้เกษตรกร
2.เนื่องจากการปรับเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนต้องใช้เวลานานกว่าจะสร้างรายได้ อีกทั้งต้องใช้เงินลงทุนสูงในระยะแรก จึงควรนำมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรที่ต้องการปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน รวมถึงการให้เงินสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เพื่อเป็นเงินทุนให้เกษตรกรใช้เป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยให้อัตราดอกเบี้ยแบบพิเศษ
“มาตรการสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน ควรมุ่งเน้นมาตรการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรแบบยั่งยืน รวมถึงการให้เงินสินเชื่อสีเขียว เนื่องจากในช่วงเปลี่ยนผ่านระยะแรกมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนสูงและใช้ระยะเวลานานกว่าจะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ควรมีการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชน เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภาคเกษตรของไทยนำไปสู่การปฏิบัติจริง” กรรณิการ์ กล่าว
3.ใช้มาตรการทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บภาษีสารเคมีเกษตร เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนมาใช้สารทางชีวภาพเพื่อกำจัดศัตรูพืช และการลดหย่อนภาษีให้ผู้ประกอบการที่สนับสนุนสินค้าเกษตรยั่งยืน อย่างไรก็ดี ก่อนที่ภาครัฐจะดำเนินการเก็บภาษีสารเคมี จำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาสารชีวภาพที่ใช้ทดแทนสารเคมีและไม่กระทบผลิตผล (Yield)
และ 4.การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรยั่งยืนและสร้างตลาดท้องถิ่น มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรยั่งยืนที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลเพื่อรับรองสินค้าสำหรับการส่งออก มีการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ควรมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรยั่งยืนไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้บริโภคด้วย ซึ่งปัจจุบันตลาดสินค้าเกษตรยั่งยืนยังมีช่องทางการจำหน่ายที่จำกัดและเข้าถึงยาก
ขณะที่ นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ TDRI กล่าวว่า แนวทางการขับเคลื่อนมาตรการเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในภาคเกษตรไปสู่การปฏิบัตินั้น เวลานี้เมืองไทยพูดกันไปพูดกันมาจบลงด้วยเกษตรอินทรีย์ ซึ่งไม่ใช่เพราะจะทำอินทรีย์ทั้งประเทศก็ทำไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือเกษตรปลอดภัย
“ความท้าทายในอนาคตคือต้องเผชิญกับปัญหาทรัพยากรมีจำกัด ต้องลดปัจจัยการผลิตลงแต่ได้ผลผลิตเท่าเดิมหรือมากขึ้น ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ เราพูดถึงเรื่องเกษตรปลอดภัยกันน้อยมากทั้งที่มีบริษัทและเกษตรกรจำนวนมากที่ทำเกษตรปลอดภัย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยไม่คุยกันเรื่องนี้ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นเรื่องที่ผลผลิตไม่ได้ลดลงไปเหมือนการทำเกษตรอินทรีย์ที่ระยะแรกผลผลิตจะลดลงค่อนข้างมาก” นิพนธ์ ตั้งข้อสังเกต
ด้าน อุดม หงส์ชาติกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แล็บอาหารยั่งยืน (ประเทศไทย) (SustainableFood Lab) ระบุว่า ความท้าทายที่ภาคเกษตรเผชิญอยู่นั้นเป็นปัญหาเชิงระบบ “ต้นน้ำมีปัญหาเกษตรกรส่วนใหญ่อายุมาก” มีอายุเฉลี่ยถึง 58 ปี และส่วนใหญ่ร้อยละ 95 เป็นหนี้ โดยร้อยละ 60 เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และมีร้อยละ 5 ที่อาจไม่เป็นหนี้เนื่องจากไม่มีศักยภาพในการกู้ โดยทั่วไปเกษตรกรเป็นอาชีพที่ยากลำบากจึงไม่อยากให้ลูกหลานมาสืบทอด โอกาสที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาจึงเป็นไปได้ยาก จึงต้องพยายามสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ซึ่งมีความต้องการจำนวนมาก
“กลางน้ำมีปัญหาการจัดส่ง จัดจำหน่าย การประกอบธุรกิจการค้าอย่างไม่เป็นธรรม” ทำให้เกษตรกรไม่ได้มูลค่าเหมาะสมกับผลิตผล “ปลายน้ำคือผู้บริโภคประสบปัญหาสินค้าที่ดีและปลอดภัยมีราคาสูง” ระบบอาหารไม่ยั่งยืนขาดการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคอย่างเป็นธรรมจึงเป็นความท้าทายหลักของคนไทย ซึ่งสิ่งที่น่าจะทำได้เวลานี้คือการยกระดับทั้งห่วงโซ่อาหาร
โดยสนับสนุนเกษตรกรนำวิถีพึ่งตนเองมาใช้ให้มากขึ้น สนับสนุนภาคธุรกิจในท้องถิ่นในการจำหน่ายผลิตที่ไหนก็ขายที่นั่น ยกระดับผู้ประกอบการที่ทำการค้าอย่างเป็นธรรมใส่ใจทั้งตัวผู้ผลิตอาหารและผู้บริโภค ต้องสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค โดยการเข้าไปเรียนรู้ทำงานกับตัวเกษตรกร การทำงานร่วมกันทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จะเป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบอย่างแท้จริง
นางสุภา ใยเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเด็นการผลิตที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีหลายแง่มุม เกษตรกรเผชิญผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมายาวนาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินในชุมชน มีการวางแผนการใช้ที่ดินใหม่ เป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกับวิถีชีวิตของผู้คนจึงเป็นเรื่องที่หาฉันทามติได้ยาก ตอนนี้มีรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นโดยชุมชน ที่ชัดเจนคือหลายงานวิจัยพบว่าหลังจากการทำเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรยั่งยืนไปนานๆ NPK (สารอาหารของพืช) ในไร่นาไม่ต้องไปเติมอะไรมาก
“จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระทบกับการทำเกษตรแบบเคมี ขณะที่การทำเกษตรอินทรีย์จะมีผลกระทบน้อย การส่งเสริมที่ผ่านมายังไม่ทำให้ช่องว่างระหว่างเกษตรเคมีกับเกษตรอินทรีย์ให้แคบลงเลย สิ่งที่ต้องพูดกันมากคือ ทำอย่างไรจะทำให้ตลาดสีเขียวที่เกิดขึ้นจำนวนมากอยู่ได้ในท้องถิ่นและเชื่อมโยงกับผู้บริโภค อาจต้องเน้นไปสู่สังคมดิจิทัลมากขึ้น” ผอ.มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี