เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องเรียกได้ว่า “กลับมาเป็นที่ฮือฮา”กันอีกครั้งกับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่คราวนี้ “ไอเดียบรรเจิด” เสนอแนะว่า “ควรติดเครื่องติดตามด้วยสัญญาณดาวเทียม(GPS) กับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคล”นอกเหนือจากเดิมที่กฎหมายให้ติดในรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2562
โดย รมว. คมนาคม อธิบายว่า “ให้เริ่มจากรถใหม่ก่อน” แล้วค่อยขยายไปยังรถเก่า อีกทั้งปัจจุบันราคาอุปกรณ์ GPS ก็ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท ขณะที่ค่าบริการ GPS รายเดือนอยู่ที่เดือนละ 300 บาท ทั้งนี้หากทำได้จริง เชื่อว่า “ได้ประโยชน์ถึง 2 ต่อ” ไม่ว่าจะเป็น1.ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะสามารถควบคุมความเร็วรถและตรวจสอบข้อมูลการขับขี่ได้ หรือ 2.ป้องกันอาชญากรรม เช่น การโจรกรรมรถ
“หากเราติด GPS กับรถได้ครบทุกประเภท เราจะกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนนได้หมด ประเทศไทยจะเป็นประเทศในแรกที่ทำแบบนี้ ไม่มีอะไรเป็นของฟรีในโลก แต่เรากำลังชั่งน้ำหนักว่า สิ่งที่จะนำมาใช้จะเกิดประโยชน์อย่างไร ทั้งนี้ขอหารือกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนในเดือนนี้หากต้องออกเป็นกฎกระทรวงบังคับใช้คงต้องใช้เวลาอีก 6 เดือนหรือถ้าเป็นกฎหมายต้องใช้เวลาเป็นปี แต่เราต้องกล้านับ 1 คาดว่าภายใน 1 ปี จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องนี้”นายศักดิ์สยาม กล่าว
แต่เรื่องนี้ “สำหรับประชาชนแล้วดูท่าจะไม่เอาด้วย” เห็นได้จากทันทีที่แนวคิดของ รมว.คมนาคม ปรากฏเป็นข่าวบนโลกออนไลน์ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทันที ทั้งในแง่ “การที่ประชาชนต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น” แม้จะเดือนละ 300 บาท ก็ถือว่าไม่สมควร รวมถึง “สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล” ประชาชนคงไม่สบายใจที่ภาครัฐสามารถรับรู้ได้ว่าแต่ละคนเดินทางไปไหน
ซึ่งต้องย้ำว่า “ประเด็นสิทธิส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมที่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน” เห็นได้จาก สหรัฐอเมริกา ที่มีกรณีอื้อฉาวเมื่อเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) ออกมาเปิดเผยว่า“สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) แอบเก็บข้อมูลการสื่อสารของประชาชนทั้งโทรศัพท์มือถือและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail)” ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภาครัฐในหมู่ชาวอเมริกันอย่างกว้างขวาง
ศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ให้ความเห็นว่า การใช้ระบบ GPS มาวิเคราะห์การจราจรสามารถทำได้ แต่ก็ต้องลงทุน เช่น นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยประมวลผลข้อมูลมหาศาล หรือใช้ในด้านปราบปรามอาชญากรรม ก็จะเห็นการจับสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือที่คนร้ายใช้ว่าโทร.มาจากที่ใด เป็นต้น
“ปัญหาใหญ่คือมันกลับมาที่เรื่องความเป็นส่วนตัว (Personal Privacy) หรือสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ อย่างในรัฐธรรมนูญก็กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ในการเดินทางโดยปราศจากการคุกคาม ทีนี้ถ้ามีคนมาคอยมอง (Monitor) คอยติดตามเรา เฮ้ย!..หมอนี่ไปไหน แต่ถ้ามีเหตุให้ควรสงสัยก็ต้องอาศัยอำนาจศาล เช่น ขอหมายค้น” ปธ.คณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วสท. กล่าว
อาจารย์พิชัย ยกตัวอย่างกรณีศาลสูง (หรือศาลฎีกา)ของสหรัฐฯ เคยมีคำวินิจฉัยว่า “การใช้ GPS ติดตามบุคคลถือว่าเป็นการค้นซึ่งต้องมีหมายค้น” หลังเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐไปแอบติดตั้ง GPS ในรถยนต์ของบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งแม้จะนำไปสู่การจับกุมได้จริง แต่ท้ายที่สุดศาลก็ตัดสินยกฟ้องเพราะถือว่าเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้การติด GPS ในรถโดยสารสาธารณะนั้นรัฐมีเหตุผลฟังได้เพราะต้องควบคุมความปลอดภัยให้กับผู้ที่โดยสารรถเหล่านั้น เช่น รถประจำทาง รถตู้ รถแท็กซี่ แต่กรณีรถยนต์ส่วนบุคคลนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะไปคล้ายกับนิยายเรื่อง “1984” ซึ่งเขียนโดย จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) เล่าเรื่องประเทศสมมุติแห่งหนึ่งที่รัฐบาลมีกลไกเรียกว่า “บิ๊กบราเธอร์ (Big Brother)” คอยสอดส่องพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของประชาชนอยู่ตลอดเวลา
อาจารย์พิชัย กล่าวต่อไปว่า ในบางประเทศอาจทำได้เพราะเป็นเผด็จการเต็มที่ แต่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ยังมีวิธีอื่นที่จะป้องกันอาชญากรรม เช่น คัดกรองผู้ต้องสงสัยกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่มีประวัติ หากประเทศไทยมี 70 ล้านคน กลุ่มนี้คงมีไม่ถึง 1 ล้านคน หากเป็นกรณีล่อแหลมจริงๆ ค่อยขอหมายศาลเพื่อใช้เทคโนโลยีในการเฝ้าติดตาม ซึ่งปัจจุบันก็มีกฎหมายอยู่แล้ว อนึ่ง “แนวคิดของ รมว.คมนาคม อาจต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความด้วยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” ดังที่ในต่างประเทศก็เคยมีการยื่นขอให้ศาลสูงตีความเช่นกัน
ส่วนเรื่องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน “รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการเรียนการสอนหลักสูตรขับขี่ปลอดภัย โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่เป็นพาหนะหลักในชีวิตประจำวันของคนไทย แต่กลับมีการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติน้อยมาก” จนทำให้สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย เกิดกับมอเตอร์ไซค์ถึงร้อยละ 70 รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นก่อนที่จะอนุญาตให้สอบใบขับขี่ ซึ่งใน ออสเตรเลีย ก็ใช้หลักการนี้
“รถยนต์ก็เช่นกัน การเรียนการฝึกควรทำในสภาพความเป็นจริงให้มากขึ้น เช่น พาไปขับบนทางด่วนไม่เช่นนั้นเขาก็ขับผิดๆ ถูกๆ ไปหัดเองขึ้นทางด่วนครั้งแรกก็ประสบเหตุ รวมถึงสอนการขับในเวลากลางคืน การขับขณะฝนตกเพราะถนนมันจะลื่น ในต่างประเทศเขาทำอย่างนี้หมดสอนตามจริง เรียนรู้จากของจริง อย่างมีคนโชว์ให้เห็นว่าฝนตกควรจะลดความเร็วอย่างไร หรือขับบนทางด่วนไม่ใช่ขับไปจี้ท้ายเขาเรื่อยๆ แถมยังสอนขับขึ้นเนิน-ลงเขาอีกต่างหากเพราะเขามีบ้านในชนบทที่ต้องขับขึ้น-ลง เขาจะสอนว่าต้องใส่เกียร์อย่างไร” อาจารย์พิชัย กล่าว
ในเวลาต่อมาซึ่งต้องบอกว่า “แค่ข้ามวัน” บ่ายวันที่ 22 ต.ค. 2562 มีรายงานว่า รมว.คมนาคม ชี้แจง “ติด GPS รถส่วนบุคคลเป็นเพียงแนวคิด” โดยต้องทำการศึกษาไปอีก 1 ปี ขณะที่ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ยังต้องรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และไม่สร้างภาระให้กับประชาชน ซึ่งผลการศึกษาอาจนำไปสู่การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” หยิบเรื่องนี้มาเล่าเพราะอยากถามท่านผู้อ่านว่า “รับได้ไหม” กับระบบข้างต้นที่ป้องกันอุบัติเหตุและอาชญากรรมได้ (ค่อนข้าง) สมบูรณ์เพราะรัฐตรวจจับได้ล่วงหน้า..แต่ก็ต้องแลกกับการที่ประชาชน (อาจ) ถูกรัฐสอดส่องพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี