“บุคคลแนวหน้า” ใน“หนังสือพิมพ์แนวหน้า” ที่อุดมการณ์ “มั่นคง ตรงไป ตรงมา”ฉบับนี้ยังยืนหยัดเพื่อประเทศชาติ และประชาชน “ไม้หน้าสาม” ยังคงเกาะติดทุกความเคลื่อนไหว “แก๊งชังชาติ” อย่างต่อเนื่องแม้หลายคนจะมองว่าใกล้หมดอนาคตกลุ่มก๊วนที่ก่อตั้งก็ทำท่าจะไปไม่รอด แพแตกแยกกันเดิน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น “ผู้แทนประชาชน” แต่น่าเสียใจและน่าเสียดาย เมื่อบุคคลเหล่านั้นเข้าสู่ “อำนาจ” กลับไม่เรียนรู้ที่จะใช้อำนาจ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ และประชาชน ครั้งนี้ขอโฟกัสไปที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร อดีตนายตำรวจใหญ่ เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในแวดวงสีกากี นั่นคือ อดีต “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” (ผบ.ตร.) วันนี้“ผู้เฒ่ากะโหลกกะลา” วัย 71 ปี หันเหชีวิตเป็น “นักการเมืองเต็มตัว” สวมหมวก “หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย” ชื่อพรรคนี้ฟังแล้วดูดี น่าชมเชย แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา “วีรบุรุษนาแก” จะวีรบุรุษของจริงหรือของปลอมอันนี้“ไม้หน้าสาม” ไม่แน่ใจ เพราะท่านเยิ้ม-พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 สมาชิกวุฒิสภาท่านอภิปรายเกริ่นนำในสภาครั้งที่ “ผู้เฒ่ากะโหลกกะลา” แสดงอาการคำรามโหยหวนแถมสำรอกใส่ “ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”เรื่องโกงการเลือกตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองไว้แค่ว่า “อย่าให้ผมพูดที่มาของเหรียญกล้าหาญชั้นรามาธิบดี ผมทราบข้อมูลดีที่ท่านได้มา เขียนขึ้นมาเองหรือไม่ อย่าอุปโลกน์ตัวเองดีกว่า” ถึงจุดนี้เลยฟันธงไม่ได้ว่า ของจริงของปลอมแต่เป็น ซตพ.ทางคณิตศาสตร์ ทว่าทำหน้าที่หัวหน้าพรรคการเมือง รวมถึงหน้าที่สส.อันทรงเกียรติได้น่าผิดหวังไร้ราคาเป็นอย่างมาก จนแทบไม่อยากเชื่อว่า ผู้เฒ่ากะโหลกกะลาระดับอดีตผบ.ตร.จะมี “วิชั่นทางการเมือง”แค่ช้างกะพริบตา วานนี้ หากใครได้เห็นพฤติกรรม และท่าทีของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็คงงวยงงไปตามๆ และน่าจะเข้าในสันดานผู้เฒ่ารายนี้ได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เปิดศึกวิวาทะกับ “พิราบน้อยรุ่นลูก” (เนชั่นทีวี 22) ชนิดที่เรียกว่าไม่เหลือความเป็น “ผู้นำ หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่” วัย 71 ปี “ไม้หน้าสาม” ขอยก“สุภาษิตสอนหญิง” มากระตุ้นต่อมสำนึกท่าน “ผู้เฒ่ากะโหลกกะลาวัย 71 ปี” ว่า “คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า, คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน, คนจะแก่แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน, คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต” มันคือ การใช้อำนาจหน้าที่ข่มขู่นักข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์”ระเบิดอารมณ์ทันทีที่ถูกซักถามถึงหลักเกณฑ์ในการทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการป.ป.ช. แต่ “ดันทะลึ่งออกอาการคล้ายเผือก” ป่าวประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่า จะเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ มาชี้แจงเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่งไม่ครบ “ตามข้อความในมาตรา 161” ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ยื่นญัตติซักฟอกตามบทบัญญัติมาตรา 152 ให้พลเอกประยุทธ์ชี้แจง แต่คนระดับอดีตผบ.ตร. กลับไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ คงคิดว่าตัวเอง “แมน” ยังสำรอกเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อการประชุมสภา “ในญัตติพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563”โดยอ้างเหตุนี้ “ไม่สังฆกรรมการพิจารณางบประมาณรายจ่าย” ทั้งที่เรื่องนี้คือการพัฒนาประเทศชาติผลประโยชน์ของประชาชนที่ไปลงคะแนนเลือกพรรคเสรีรวมไทย ถ้าพฤติกรรมเยี่ยงนี้คือความศิวิไลซ์ของผู้เฒ่ากะโหลกกะลาแล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ????...

nn “ไม้หน้าสาม” ได้ฟังน้องนักข่าวเนชั่นถามพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อย่างนอบน้อมตามประสากระจิบข่าวว่า เมื่อไม่รับการเป็นรัฐบาลของบิ๊กตู่ เหตุไฉนจึงโหวตรับร่างพ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพระมหากษัตริย์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการยอมรับการทำหน้าที่ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไปแล้ว แต่พอการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กลับมาหยิบยกเรื่องถวายสัตย์ฯ เป็นเครื่องมือหรือประเด็นโจมตีไม่ยอมรับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เท่านี้เอง อดีตนายตำรวจใหญ่ก็สติแตก มันคือการคุกคามเสรีภาพและการทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเปิดเผยจากผู้เฒ่ากะโหลกกะลา ที่เคยเป็นผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่อยู่ในสายธารกระบวนการยุติธรรม...

nn สุดท้าย “ไม้หน้าสาม”ขอประชาสัมพันธ์งานสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจศพ“คุณพ่อชัยชนะ บรมสำลี” ผู้กว้างขวางอดีตขรก.ครูและอบจ..แห่งจังหวัดนครพนมโดยศพจะตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเลขที่ 12 ถนนทัศนปทุม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ถึงวันศุกร์ที่ 1พฤศจิกายน 2562 และจะเคลื่อนไปฌาปนกิจที่วัดมหาธาตุอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในวันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ในเวลา 16.00 น. เจ้าภาพฝากกราบเรียนและเรียนเชิญผู้ใกล้ชิดญาติมิตรสหายร่วมพิธีส่งวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่สัมปรายภพตามกำหนดการนี้ด้วย...nn

ไม้หน้าสาม