สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องเล่าจากรศ.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัลย์ อาจารย์สาขาวิชาสังคมศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ในเวทีเสวนา “เมืองเถียงได้”ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ต.ค. 2562 มาเล่าต่อกับท่านผู้อ่าน เกี่ยวกับ “ประวัติศาสตร์ภาคการท่องเที่ยวไทย” ที่มีวิวัฒนาการมาหลายยุคสมัย กว่าจะเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยในปัจจุบัน
อาจารย์ภิญญพันธุ์ เล่าว่า ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยุคแรกๆ นั้นยังเป็นกิจกรรมของชนชั้นนำ “การท่องเที่ยวเริ่มถูกส่งเสริมแบบอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา” โดยเฉพาะในช่วง “สงครามเย็น” ที่โลกแบ่งขั้วเป็นฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย อันมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นแกนนำ สมรภูมิสำคัญที่หนึ่งคือ “สงครามเวียดนาม” ซึ่งไทยในเวลานั้นให้สหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพสำหรับส่งทหารไปสู้รบ
“อเมริกาเห็นไทยเป็นโอเอซิส (Oasis) ในช่วงที่ลาวและกัมพูชาตกเป็นของคอมมิวนิสต์ ไทยจึงเป็นแหล่งน้ำที่นำไปสู่การเอาชัยชนะจากคอมมิวนิสต์ แต่คนไทยเห็นว่าการท่องเที่ยวนั้นอยู่กับความสำเร็จที่การเข้าถึงจิตใจคนอเมริกันที่จะมาท่องเที่ยว และคิดว่าการท่องเที่ยวจะทำให้ไทยมีตำแหน่งที่บนโลกใบนี้โดยเฉพาะในโลกเสรีอาจกล่าวได้ว่าทศวรรษ 2500 เป็นการยกระดับการท่องเที่ยวไทยเข้าสู่ตลาดโลกอย่างเต็มตัว โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มหาศาลมากๆ
ปี 2502 เราตั้งหน่วยงาน อ.ส.ท. (องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ที่ทุกวันนี้คือ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) อนุสาร อ.ส.ท. ที่เราอ่านกันก็เป็นผลผลิตของ อ.ส.ท. เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อด้วยซ้ำเราพบว่า อ.ส.ท. ลงไปในพื้นที่ชนบท พร้อมกับหน่วยป้องกันคอมมิวนิสต์ เอาหนังแสดงความเป็นไทยไปฉายให้รู้สึกมีอุดมการณ์รักชาติ อ.ส.ท. ในเวลาต่อมาจะเปลี่ยนเป็นททท. ในทศวรรษ 2520 ขยายอำนาจจัดการการท่องเที่ยวมีการสร้างแผนพัฒนาการท่องเที่ยว จัดกิจกรรมแสงสี เสียง เกิดขึ้นมหาศาล” อาจารย์ภิญญพันธุ์ กล่าว
อาจารย์ภิญญพันธุ์ เล่าต่อไปว่า “ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น เมืองของแต่ละจังหวัดเป็นที่มั่นสำคัญ”เพราะเป็นทั้งย่านการค้า จุดเชื่อมต่อการเดินทาง รวมถึงศูนย์กลางอารยธรรม ซึ่งแบ่งเป็น 2 ยุคคือ 1.ยุคสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ (ก่อนทศวรรษ 2520) รัฐไทยปกป้องและเฝ้าระวังพื้นที่เมืองจากแนวร่วมฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในชนบท “สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ในยุคนี้คือวัดและวังของเมืองต่างๆ” และการส่งเสริมของภาครัฐจะเน้นไปที่ศิลปวัฒนธรรมของชนกลุ่มหลักเพราะมีพลังมากกว่าชนกลุ่มน้อยในเมืองนั้นๆ
อนึ่ง “เรื่องเล่าของการท่องเที่ยวในอดีตยังกล่าวถึงผู้หญิงท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นปัญหาหากมาทำอย่างเดียวกันในปัจจุบัน” เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับ“สาวเชียงใหม่-สาวเรณูนคร” ขณะเดียวกัน “การเข้ามาของฐานทัพสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจบันเทิงยามราตรีในประเทศไทยเบ่งบาน” เกิดย่านขึ้นชื่ออย่าง “พัฒน์พงศ์” ในกรุงเทพฯ “พัทยา” ใน จ.ชลบุรี รวมถึงอีกหลายจังหวัด “การขายบริการทางเพศก็เกิดขึ้นมากและสร้างรายได้มหาศาล แมสังคมไทยจะปฏิเสธการมีอยู่ของอาชีพ
ดังกล่าว” และปฏิเสธตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ตาม
2.ยุคหลังสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ (ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา) เมื่อกำลังของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อ่อนลงจนไม่อยู่
ในสถานะเป็นภัยคุกคามอีกต่อไป พื้นที่ป่าหรือชนบทที่เคยถูกระบุว่าเป็น “พื้นที่สีแดง” เพราะมีการสู้รบระหว่างกองทัพรัฐบาลไทยกับ พคท. ถูกอธิบายใหม่ว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” สามารถเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปท่องเที่ยวได้แล้ว
“ในทศวรรษ 2530 ต้นๆ เกิดสิ่งที่เรียกว่าคำขวัญประจำจังหวัดขึ้นมา เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดและใครก็แล้วแต่ที่มีอิทธิพลในจังหวัด สร้างคำขวัญขึ้นมา คำขวัญประจำจังหวัดที่เราท่องกันทุกวันนี้มันเกิดขึ้นเพื่อการท่องเที่ยวล้วนๆ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอัตลักษณ์ความเป็นจังหวัดอย่างที่เรานึกว่ามันเก่าแก่ มันเพิ่งเกิดขึ้น 30 ปีมานี้เอง” อาจารย์ภิญญพันธุ์ ระบุ
ต่อมา “ในทศวรรษ 2540 ที่เริ่มต้นด้วยวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง” กระแสการท่องเที่ยวยุคนี้เริ่มหันไปสู่“การโหยหาอดีตและการกลับบ้านเกิด” ทำให้รัฐบาลไทยชูโครงการ “อเมซิ่งไทยแลนด์ (Amazing Thailand)” ในปี 2542 ขณะที่ “ถนนคนเดิน” เกิดขึ้นมากตั้งแต่ปี 2545ตั้งแต่ย่าน “สีลม” ในกรุงเทพฯ “ประตูท่าแพ” ใน จ.เชียงใหม่ และขยายไปทั่วประเทศ “การเกิดขึ้นของถนนคนเดินทำให้เมืองมีการใช้พื้นที่หลากหลาย และส่งเสริมอัตลักษณ์ของตนเองมากขึ้น” อีกทั้งยังทำให้การท่องเที่ยวไม่จำกัดเฉพาะฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) อีกต่อไป
ประเด็นสุดท้าย อาจารย์ภิญญพันธุ์ สรุปว่า “นโยบายการท่องเที่ยวของไทยเป็นแบบรวมศูนย์” เน้นการขับเคลื่อนจากบนลงล่าง เช่น “กระทรวงมหาดไทยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มาจากการเลือกตั้ง” รวมถึงการก่อตั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี 2545 ตลอดจน แผนแม่บทการพัฒนาและอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ ในปี 2525
อย่างไรก็ตาม “รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ซึ่งส่งเสริมการกระจายอำนาจ เป็นก้าวแรกที่ทำให้ อปท. มีบทบาทร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวมากขึ้น” แน่นอนว่า “อปท. ก็ต้องลองผิดลองถูกจากความไม่เข้าใจเรื่องการทำงานร่วมกับชุมชน” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เช่นกรณี “ป้อมมหากาฬ” ที่ผลการต่อสู้กว่า 2 ทศวรรษจบลงด้วยชุมชนเก่าแก่ต้องย้ายออกไปแล้วแทนที่ด้วยสวนสาธารณะ ขณะที่ “ทั้ง 50 เขตใน กทม.ซึ่งเทียบได้กับอำเภอ ผู้อำนวยการเขตไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” จึงไม่จำเป็นต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่
แต่ถึงการกระจายอำนาจชะงักไปตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ก็ไม่อาจหยุด “กระแสของท้องถิ่น”ได้อีกแล้ว!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี