วันเสาร์ ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย ไทยมีนายกรัฐมนตรีถึง 11 คน อันได้แก่ ชวน หลีกภัย, ทักษิณ ชินวัตร, พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์, สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และ อนุทิน ชาญวีรกูล
โดยแต่ละคนก็ได้รับการกล่าวขวัญเชิงการมีฉายาต่อท้ายทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็น ชวน เชื่องช้า,ทักษิณ ทุนนิยมสามานย์, พลเอกสุรยุทธ์ขิงแก่, สมัคร พ่อครัว, สมชาย ตู้เย็น, อภิสิทธิ์ ค่ายทหาร, ยิ่งลักษณ์, เศรษฐา และแพทองธารหุ่นเชิด, อนุทิน ศิษย์ครูใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำระดับประเทศที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นแรงดลใจและขวัญกำลังให้กับประชาชนพลเมืองแต่อย่างใด
ก็จัดได้ว่าสังคมไทยอาภัพผู้นำที่มีคุณภาพ มากด้วยวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำพาประเทศชาติด้วยสติปัญญา ด้วยความรักชาติ รักแผ่นดิน ที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่เป็นรองประเทศหนึ่งใด และไม่เป็นที่เอือมระอาหรือผิดหวังของประชาคมโลก
ในกลุ่มนามดังกล่าวทั้งหมดนี้ ดูท่าว่าคุณทักษิณ ชินวัตร จะจัดได้ว่ามีความโดดเด่นเป็นที่สุด เป็นความหวัง และความคาดหวังของปวงชนชาวไทย ในการที่จะนำพาให้ประเทศไทยให้ก้าวไกลไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ เพราะในก่อนหน้าจะมาลงเล่นการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตร ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจอย่างสูงสุดคนหนึ่งของประเทศไทย อีกทั้งมีประสบการณ์ในเรื่องการทำมาค้าขายระหว่างประเทศ และมีภาพลักษณ์ภาพพจน์ว่า เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิต ธุรกิจ และสังคมแล้ว ก็จะมาอุทิศตนเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
คุณทักษิณ เริ่มชีวิตการเมืองอย่างจริงจัง เมื่อเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม ซึ่งก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลชวน 1 และอีกไม่กี่ปีต่อมาคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เลือกที่จะตีจากพรรคพลังธรรมเพื่อไปตั้งพรรคการเมืองของตนเองภายใต้ชื่อ “พรรคไทยรักไทย” ซึ่งเมื่อลงสนามการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกในต้นปี 2544 ก็ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ส่งผลให้คุณทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย โดยสังคมไทยโดยทั่วไปในขณะนั้น ก็เทอกเทใจให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร อย่างกว้างขวาง อนาคตของประเทศไทยดูสดใสภายใต้การนำพาของคุณทักษิณ ชินวัตร
ประชาธิปไตยของไทยเบ่งบาน ประเทศไทยมีความโดดเด่นในสายตาของประชาคมโลก และประชาคมโลกรวมทั้งประชาคมอาเซียนก็คาดหวังว่า คุณทักษิณ ชินวัตร จะได้เข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและการร่วมมือกันเพื่อความเจริญก้าวหน้าร่วมกันด้วย
แต่ทว่าจะด้วยอารมณ์แห่งโลภะ โมหะ และโทสะหรือไม่ก็ตาม จึงทำให้คุณทักษิณ ชินวัตร เริ่มเถลไถลออกจากหลักธรรม และหลักการบริหารจัดการแบบธรรมาภิบาลที่ดี จนนำมาซึ่งความแตกแยก การไร้ซึ่งเสถียรภาพและความถดถอยของบ้านเมือง กลายเป็นเหตุผลให้กับฝ่ายกองทัพโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และต่อมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อ้างเพื่อทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐไปในปี พ.ศ. 2549 และปี พ.ศ. 2557 ตามลำดับ ซึ่งในขณะนั้น สังคมไทยก็มีความคาดหวังว่า จะได้มีการชำระล้างความไม่ดีงามในเรื่องการบริหารจัดการบ้านเมืองของรัฐบาลทักษิณ และจัดตั้งโต๊ะการเมืองกันใหม่
แต่จนแล้วจนรอด ทั้งสองนายพลกลับประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยการปฏิวัติครั้งแรกถูกตั้งฉายาว่า ปฏิวัติปราสาททราย ที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาให้กับสังคมไทย แถมยังฉุดรั้งความก้าวหน้าอีกด้วย แต่การปฏิวัติครั้งที่สองกลับเลวร้ายไปกว่า ด้วยการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะเป็นนายกฯเผด็จการทหารถึง 5 ปี ที่แช่แข็งความขัดแย้งในสังคมไทยเอาไว้ ไม่ลงมือแก้ไข โดยระหว่างนั้นก็มุ่งขีดเขียนกฎเกณฑ์กติกาที่เอื้อประโยชน์ในการต่ออายุอำนาจทางการเมืองของตนไปอีก ซึ่งก็ถือเป็นการดำเนินการทุกอย่างเพื่อตนเองและพรรคพวก แทนที่จะมุ่งมั่นในการจัดตั้งโต๊ะการเมืองของไทยเสียใหม่หมด และก็ผลได้ตามที่คาดคือการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขึ้นเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีอำนาจเต็มแบบก่อนหน้า ซึ่งก็ต้องคอยเกรงอกเกรงใจนักการเมือง จนไม่มีแรงที่จะไปขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาประเทศ
บัดนี้ สังคมไทยกำลังเฝ้ามองและติดตามดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองของคนรุ่นใหม่ ว่าจะสามารถผลิตบุคลากรที่จะมาเป็นผู้นำประเทศได้อย่างจริงจัง หรือไม่? ซึ่งทั้งนี้ก็มิได้มีข้อจำกัดใดๆ ให้พรรคการเมืองอื่นๆ ใฝ่หาบุคลากรคุณภาพให้ขึ้นมาอาสารับใช้บ้านเมืองอย่างจริงจังและอย่างดีเยี่ยมได้ในสังคมเสรีประชาธิปไตยทุกสังคม
พรรคการเมืองเป็นองค์กรที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศและผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐกับฝ่ายรัฐสภาที่จะเป็นผู้ไปใช้อำนาจรัฐ ซึ่งหมายความว่าบรรดาพรรคการเมืองต้องมีคุณสมบัติของการเป็นพรรคการเมืองอย่างแท้จริง นั่นคือเป็นของสมาชิก หรืออุดมการณ์ มีแผนการบริหารประเทศ
แต่ตราบใดที่พรรคการเมืองใดยังมีลักษณะที่เป็นสมบัติส่วนตัว ตกอยู่ในกำมือของผู้คนเพียงไม่กี่คน พรรคการเมืองนั้นๆ ก็ไม่สามารถจะตอบสนองประเทศชาติและประชาชนพลเมืองได้ เพราะพรรคการเมืองแบบนั้น จะต้องคอยตอบสนองกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์น้อยนิดดังกล่าวนี้
สังคมไทยจึงต้องมีการปฏิวัติพรรคการเมืองอย่างใหญ่หลวง และเมื่อนั้นสังคมไทยก็จะได้เห็นการผุดโผล่ การเรียงหน้ากันเข้ามาของว่าที่ผู้นำที่ดี ที่มีความสามารถกับเขาเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

'เทพไท'แนะจับตา'ลูกเขยทักษิณ'มีสิทธิ์โผล่แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย
'สุทิน'ลั่นไม่ได้คลั่งรัฐบาลนี้ แต่'อนุทิน'นำไทยกลับสู่เรดาร์ในสายตาโลก หลังหลุดไป 2 ปี
'เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี'เสด็จเป็นองค์ประธานการประกวดผ้าลายพระราชทาน'ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์'
'เจิมศักดิ์'สะท้อนมุมมอง 'ชีวิต วาระเปลี่ยนผ่าน เพื่อไทย'
‘ดร.จักษ์’จวกพรรคส้ม! รู้ตัวไหมว่า'คุณกำลังรบกับชาติของตัวเอง?'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี