“ที่นี่แนวหน้า” ยังอยู่กับงานสัมมนาวิชาการ “เศรษฐกิจไทยในยุค Disruptive Technology : พลิกความปั่นป่วนเป็นโอกาส” ในส่วนหัวข้อย่อย “ช่วงที่ 3 นำเสนอผลการศึกษาผลกระทบ และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับ Disruptive Technology ในอุตสาหกรรมสื่อค้าปลีก ภาคบริการโรงแรม และบริการขนส่งผู้โดยสารทางบก” โดยนักวิชาการอาวุโสของ TDRI เสาวรัจ รัตนคำฟู ยกตัวอย่าง 4 ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก
เริ่มจาก 1.ธุรกิจสื่อ นับตั้งแต่ปี 2558-2562 สื่อมวลชนกระแสหลักไม่ว่าแขนงใดล้วนมีรายได้จากค่าโฆษณาลดลง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์มูลค่าโฆษณาหายไปร้อยละ 28 ในมุมผู้ประกอบการคือผลกระทบ แต่ในมุมผู้บริโภคคือโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น เพราะการรับข่าวสารผ่านอินเตอร์เนตข้อมูลปฏิกิริยาของผู้รับสารจะถูกเก็บไว้เพื่อนำไปประมวลผลก่อนจะส่งเนื้อหาทำนองเดียวกันมาให้อีกในครั้งต่อไปเรื่อยๆ จึงมีคำแนะนำ
1.1 เปลี่ยนการกำกับดูแลจากประเภทการเผยแพร่ไปเป็นชนิดของบริการ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน เนื้อหา หรือแอพพลิเคชั่น 1.2 สร้างแพลตฟอร์ม (Platform) ของเนื้อหาในสื่อไทยเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง จากเดิมที่สื่อแต่ละสำนักต่างคนต่างทำ โดยรัฐไม่ต้องลงมือทำเองแต่ช่วยสนับสนุนภาคเอกชนที่สามารถทำได้ 2.ธุรกิจโรงแรมแอพพลิเคชั่นตัวกลางระหว่างผู้มีห้องว่างแล้วอยากหารายได้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาที่พักอย่าง Airbnb
มุมผู้บริโภคคือมีทางเลือกมากขึ้นและราคาถูกกว่าโรงแรมแบบเดิม เนื่องจากโรงแรมแบบเดิมมีต้นทุนประกอบการสูงกว่า แต่ในทางกลับกันผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะโรงแรมเล็กๆ ขนาด 3 ดาวลงมาได้รับผลกระทบอย่างมาก ผู้เข้าพักลดลง รายได้ลดลง นอกจากนี้ยังมีการนำห้องว่างในคอนโดมิเนียมไปปล่อยเช่ารายวันผ่านแอพฯ ดังกล่าว ทำให้ผู้ซื้อห้องพักอาศัยอยู่ประจำรู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัวและกังวลเรื่องความปลอดภัย
ในส่วนนี้ 2.1 ควรมีการจดทะเบียน แต่ในไทยนั้นกรณีการนำห้องว่างในคอนโดมิเนียมมาปล่อยเช่ารายวันเคยมีคำวินิจฉัยของศาลว่าไม่สามารถทำได้ ส่วนในประเทศสิงคโปร์ แม้จะอนุญาตให้ทำได้แต่ก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้พักอาศัยคนอื่นๆ ในอาคารเดียวกันในสัดส่วนมากพอสมควร 2.2 ควบคุมความปลอดภัย โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ เช่น มีระบบดับเพลิง ทางหนีไฟ มีคำอธิบายเป็นภาษาต่างประเทศว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องทำอะไรบ้างหากต้องการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว รวมถึงมีคำเตือนเรื่องมารยาทในการอยู่ร่วมกับผู้พักอาศัยคนอื่นๆ
3.ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าแบบดั้งเดิมได้รับผลกระทบอย่างมาก ข้อมูลจากสมาคมธุรกิจค้าปลีกไทย ระบุว่าปัจจุบันมีร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม 2.5-3 แสนรายในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งค่อยๆ ทยอยปิดตัวไปจากความนิยมสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะจากประเทศจีนที่ราคาถูกกว่า ซึ่งในส่วนนี้ 3.1 ต้องแก้ไขกติกาที่ไม่เป็นธรรม อาทิ การสั่งสินค้านำเข้าจากต่างประเทศหากราคาไม่เกิน 1,500 บาท ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในขณะที่หากซื้อสินค้าในประเทศไทย จะซื้อเท่าไรก็ต้องเสีย VAT ทั้งสิ้น
“อีกกลุ่มที่เราเป็นห่วงจากการถูกดิสรัป (Disrupt-แทนที่) คือแรงงานทักษะต่ำในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งในกลุ่มนี้คนที่มีทักษะต่ำ ระดับการศึกษาต่ำกว่า ม.6 ทำงานซ้ำๆ เป็นประจำ เป็นโพรเซส (Process-กระบวนการ) ที่สามารถคาดการณ์ได้ ส่วนนี้จะถูกดิสรัปมาก ที่พวกเราประมาณการกันอยู่ที่ 9 แสนคน ธุรกิจค้าปลีกงานประเภทไหนที่ใช้แรงงานคนซ้ำๆ ก็คือส่วนพนักงานขายหน้าร้าน พนักงานสินค้าคงคลัง แคชเชียร์ เราจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้เริ่มมีการไปซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ต้องผ่านแคชเชียร์แล้ว สามารถจ่ายเงินได้ เช็คสินค้าเองได้” เสาวรัจ ยกตัวอย่าง
และ 4.ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางบก เห็นได้ชัดจากแอพฯ เรียกรถรับ-ส่งผู้โดยสาร ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เพราะสะดวก ทั้งไม่ต้องออกไปโบกรถข้างถนนรู้เวลาว่ารถจะมารับ หรือผู้ให้บริการก็รู้ว่าเวลาไหนจุดใดจะมีโอกาสได้ผู้โดยสารมาก ไม่ต้องเสียเวลาขับรถเปล่าๆ ตระเวนหาลูกค้า แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคนขับแท็กซี่แบบดั้งเดิมเพราะจำนวนผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น จำนวนลูกค้าซึ่งหมายถึงรายได้ในแต่ละวันที่เข้ามาก็ลดลง
แนวทางกำกับดูแล 4.1 ขึ้นทะเบียนคนขับรถ ใครจะรับงานแอพฯ เหล่านี้ต้องขอใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ซึ่งจะมีการตรวจประวัติอาชญากรรม เช่นเดียวกับการขับรถแท็กซี่ดั้งเดิม 4.2 บังคับทำประกันความเสียหายกับบุคคลที่ 3 ที่มีกรอบความคุ้มครองมากขึ้น เพราะการนำรถมารับจ้างรับ-ส่งผู้โดยสาร ยิ่งวิ่งเที่ยวรถมากขึ้นโอกาสเกิดอุบัติเหตุก็อาจมากขึ้นด้วย 4.3 กำหนดให้ผู้ให้บริการแอพฯ ต้องกำกับดูแลผู้รับงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอาจต้องรายงานข้อมูลการทำงานของผู้ขับขี่ต่อรัฐเพื่อคำนวณการเก็บภาษี
สุดท้าย “สิ่งที่ต้องทำควบคู่กับการปรับปรุงกฎกติกาคือการพัฒนาคน” เสาวรัจ ยกตัวอย่าง เช่นในประเทศสิงคโปร์ มีการจัดอบรมคนขับแท็กซี่แบบดั้งเดิมในเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์กับอาชีพของตน โดยวันที่มาอบรมรัฐจะจ่ายเงินค่าเสียโอกาสหารายได้ให้ด้วย และมีการทดสอบหลังอบรมเสร็จสิ้น หรือการที่รัฐให้คูปองปีละ 500 เหรียญสิงคโปร์ กับประชาชนอายุ 25 ปีขึ้นไป เพื่อให้ไปอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวในยุคดิจิทัล ซึ่งรัฐกำหนดไว้ให้เลือกอยู่ประมาณ500 หลักสูตร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หรือกรณีผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SME)รัฐควรให้ทั้งคำแนะนำ สร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการว่าเหตุใดต้องเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล มีแผนของแต่ละอุตสาหกรรมว่าจะเปลี่ยนผ่านอย่างไรโดยร่วมมือกับภาคเอกชน สนับสนุนเงินทุนหรือการลดหย่อนภาษีแก่ผู้ต้องการเปลี่ยนผ่าน หากลุ่มเป้าหมายที่พร้อมเพื่อนำร่อง เช่นในภาคเกษตรอาจเริ่มต้นที่เกษตรกรรุ่นใหม่เพราะสามารถนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ได้ง่าย หรือเน้นช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากก่อน อาทิ ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม “รัฐไม่ควรไปสร้างนวัตกรรมแข่งกับเอกชน” เพราะเป็นการสร้างคู่แข่งโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง“ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่ปัจจุบันมี พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 บังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่มีกฎหมายลูกระบุให้ชัดว่าการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยผู้ให้บริการต่างๆ มีขอบเขตอย่างไรบ้าง..เรื่องนี้ต้องเร่งรัดให้ออกมาโดยเร็ว อีกทั้งต้องอาศัยเครือข่ายภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้า ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี