“โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่” หรือที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เพิ่งตั้งชื่อให้อย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19 (COVID-19)” เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากสถานการณ์การระบาด “ความหวาดระแวง” ก็เป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล เห็นได้จากการประกาศชื่อเชื้อข้างต้น เทดรอสอัดฮานอม เกเบรเยซุส (Tedros Adhanom Ghebreyesus)เลขาธิการองค์การอนามัยโลก อธิบายว่า ต้องการให้เป็นชื่อที่ไม่บ่งบอกถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ สัตว์หรือกลุ่มคน
เนื่องจากตลอดเวลากว่าเดือนเศษนับตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค. 2562 ที่เริ่มมีรายงานพบผู้ติดเชื้อ มักใช้คำเรียกว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” ซึ่งมาจาก เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน สถานที่แรกที่พบการระบาด ด้านหนึ่งทางการแดนมังกรตัดสินใจออกคำสั่งปิดประเทศกลายๆ ด้วยการห้ามบริษัทนำเที่ยวพาชาวจีนไปเที่ยวนอกประเทศ อีกด้านหนึ่ง “หลายๆ ประเทศก็มีมาตรการห้ามคนจีนเดินทางเข้าประเทศ” เกิดกระแส “หวาดกลัว รังเกียจและตีตราชาวจีนไปทั่วโลก”โดยปริยาย
ที่งานเสวนา “ตระหนัก ดีกว่า ตระหนก เรียนรู้และป้องกัน โคโรนาไวรัส 2019” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหยกฟ้า อิศรานนท์ ผู้ช่วยคณบดีคณะจิตวิทยา และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อร่างกายแล้วยังรวมถึงจิตใจด้วย อาทิ “การรับข้อมูลข่าวสาร” โดยเฉพาะใน “สื่อออนไลน์” อาทิ ช่วงปลายเดือนม.ค. 2563 ที่มีข่าวพบผู้ติดเชื้อจากคนสู่คนรายแรกในไทย จำนวนการค้นหาข้อมูลโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“เป็นธรรมชาติของคนเราอยู่แล้ว เวลาที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่มันกำกวมอันตราย เราก็จะพยายามค้นหาข้อมูลให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะรู้สึกว่ามั่นใจแล้วว่าเราต้องรับมืออย่างไรกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่ทีนี้ด้วยความที่สื่อออนไลน์เองมันมีความเฉพาะเจาะจงของมันอยู่ แน่นอนว่าสื่อออนไลน์มันเข้าถึงง่ายรวดเร็ว เราอยู่ที่ไหนเราก็ค้นหาข้อมูลได้ไว ข้อมูลมันมีเป็นล้านๆ ให้เราได้เลือกค้นหา แต่ตามปกติแล้วคนเราจะมีอคติในการค้นหาข้อมูล
แค่ Keyword (คำสำคัญ) ที่เราใส่ไปใน Search Engine (เว็บไซต์ให้บริการค้นหาข้อมูล เช่น Google) ก็สะท้อนอคติบางอย่างเหมือนกัน เขาบอกว่าโดยธรรมชาติเรามักจะพยายามค้นหาข้อมูลมาสนับสนุนความเชื่อเดิมของตัวเอง ภาษาจิตวิทยาเรียก Confirmation Bias หรืออคติยืนยันความเชื่อเดิม ตัวอย่างเช่น สมมุติเราเชื่อลึกๆ ว่าไวรัสตัวนี้อันตรายแน่เลย หรือร้ายแรงติดต่อง่าย ที่เราจะพิมพ์เข้าไปคือโคโรนาไวรัสติดง่ายไหม อันนี้ก็แสดงถึงอคติแล้วเพราะเราไป Narrow Down คือทำข้อมูลให้แคบลง ซึ่งเกิดจากอคติของเราเองในการค้นหาข้อมูล” อาจารย์หยกฟ้าอธิบาย
จากธรรมชาติของมนุษย์ข้างต้นจึงมีความเป็นไปได้ที่“แม้จะเจอบทความทางวิชาการที่มีข้อมูลน่าเชื่อถือระบุว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ร้ายแรง..แต่คนที่มีอคติไปแล้วก็มักเลือกที่จะมองข้าม” แต่นอกจากสื่อออนไลน์แล้ว “ปากต่อปาก-บอกต่อๆ กันมา” อันเป็นการสื่อสารแบบดั้งเดิมก็เป็นอีกช่องทางให้ผู้รับสารเชื่อได้ง่าย เพราะคนบอกส่วนใหญ่มักจะเป็นคนใกล้ชิดอย่างญาติสนิทมิตรสหาย “ในความเป็นจริงแล้วการเล่าต่อๆ กันมามักพบว่าข้อมูลบางอย่างหายไป” เช่น จากเดิมความจริงคือสัมผัสเชื้อแล้วมาขยี้ตา ไปๆ มาๆ อาจกลายเป็นบอกว่ามองตาก็ติดได้
อาจารย์หยกฟ้า ยังอธิบายประเด็น “ทำไมคนเราจึงเชื่อข่าวปลอม (Fake News)” ซึ่งสาเหตุคือ 1.สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของตัวเรา ถ้าเราเชื่อว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่อันตรายมาก เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อข่าวที่บอกว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน 2.เมื่อใช้อารมณ์คนเราจะคิดน้อยลง และข่าวปลอมก็มักจะเน้นกระตุ้นอารมณ์ผู้รับสารเช่น กลัว โกรธ รังเกียจ เมื่อตัดสินใจด้วยอารมณ์ก็อาจทำให้เชื่อข่าวปลอมได้ และ 3.ปรากฏการณ์ความจริงเทียมในทางจิตวิทยามีคำอธิบายว่าอะไรที่ถูกพูดถึงซ้ำๆ พบเห็นบ่อยๆ ก็มีแนวโน้มที่ผู้คนจะเชื่อว่าเป็นความจริงได้
สำหรับแนวการรับข้อมูลข่าวสารแบบไม่ตื่นตระหนก1.ตรวจสอบแหล่งที่มา มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือเป็นเพียงการบอกต่อๆ กัน 2.พิจารณาความสมเหตุสมผล แม้ธรรมชาติของคนเราจะมีอคติ เช่น เชื่อว่าโรคระบาดน่ากลัวมากอยู่แล้ว การได้รับข้อมูลคงต้องตั้งสติแล้วคิดว่าข้อมูลดังกล่าวมีความเป็นเหตุเป็นผลมากน้อยเพียงใด 3.พักการเสพสื่อบ้าง หลายคนอาจจะค้นหาข้อมูลจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นซึ่งก่อให้เกิดความเครียดและกังวลเกินเหตุ
“จากวิตกกังวลสู่อคติ..จากอคติสู่การเลือกปฏิบัติ”เป็นอีกเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย เช่น พบร้านอาหารติดป้ายไม่ต้อนรับลูกค้าชาวจีน ร้านอาหารจีนขายไม่ได้ “การเหยียดคนนอกกลุ่มเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาจากสมัยโบราณที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า คนกลุ่มหนึ่งจึงรังเกียจและหวาดกลัวคนจากอีกกลุ่มหนึ่งเพราะกังวลว่าจะนำโรคจากภายนอกเข้ามาระบาดในกลุ่มของตน” เทียบกับสถานการณ์เวลานี้คือโคโรนาไวรัสเริ่มระบาดในจีน คนชาติอื่นๆ จึงรังเกียจและหวาดกลัวคนจีน
ก่อนการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ อาจารย์หยกฟ้า ยกตัวอย่าง “อีโบลา (Ebola)” โรคระบาดในทวีปแอฟริกา แต่ความกลัวและการเลือกปฏิบัติไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยบางแห่งประกาศไม่รับนักศึกษาที่มาจากประเทศที่เชื้อดังกล่าวระบาด หรือแม้แต่ขณะนี้ในโลกตะวันตกเริ่มมีกระแสรู้สึกไม่ไว้วางใจไม่เฉพาะชาวจีนแต่ยังรวมไปถึงชาวเอเชียผิวเหลืองทั้งหมด “อคติลักษณะนี้เกิดขึ้นง่ายมากโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว” แต่ก็เข้าใจได้“เราอคติเพราะกลัว..และที่เรากลัวก็เพราะเราไม่รู้” หมายถึงไม่รู้ว่าโรคติดต่อทางใดและจะระมัดระวังตัวอย่างไร
“1.หาความรู้เพิ่มเติม สร้างความรู้ให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม ให้คนในสังคมเข้าใจข้อเท็จจริงว่าโรคนี้มันติดต่อได้อย่างไร มันไม่ได้ง่ายขนาดเดินผ่านกันแล้วติดกันแบบนั้นแล้วก็ 2.พยายามมองทุกคนบนโลกใบนี้ว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกเหมือนกัน ทุกคนมีคุณค่าเท่ากันไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนที่ติดเชื้อแล้วหรือคนที่หายแล้ว แล้ว 3.ตามทฤษฎีเขาบอกว่าถ้าเราได้พูดคุยหรือสร้างเพื่อนข้ามกลุ่ม หลายๆ คนก็มีเชื้อสายจีนอยู่แล้ว เราจะรังเกียจคนจีนทำไมในเมื่อเลือดของเราส่วนหนึ่งก็ได้รับมาจากบรรพบุรุษชาวจีน
ถ้าเราได้พูดคุยกับชาวจีนมันอาจจะลดอคติในใจของเราลงได้ คนนี้ดูแล้วมันก็ไม่ได้มีลักษณะขนาดที่เราต้องไปรังเกียจอะไรขนาดนั้น ลดอคติในใจของเราลง อีกอันหนึ่งถ้า 3 ข้อแรก มันทำไม่ได้อาจต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคม สังคมไทยการเหยียดสมัยนี้มองว่าเป็นการล้อเล่น แต่คนที่โดนล้อไปแล้วรู้สึกดูด้อยกว่าคนอื่น ดังนั้นอาจต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ว่าการเหยียดหรือเลือกปฏิบัติไม่ควรมีในสังคม” อาจารย์หยกฟ้า กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี