วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ร่างกฎหมายอากาศสะอาด หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดพ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง3 วาระ เมื่อ 21 ตุลาคม 2568 และเข้าสู่วาระการพิจารณาของวุฒิสภา
หากวุฒิสภามีมติให้ความเห็นชอบ ไม่โต้แย้ง หรือแก้ไข จะประกาศเป็นกฎหมายในราชกิจจานุเบกษา และกำหนดวันมีผลใช้บังคับ ในเร็ววัน
กฎหมายอากาศสะอาดนี้เป็นเรื่องใหม่ ที่กำหนดให้ อากาศสะอาด เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทย และต้องคุ้มครองสิทธิกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ
กฎหมายกำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนแม่บท
ในเรื่องการจัดการมลพิษ กฎหมายกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรม คมนาคม เกษตรกรรม ป่าไม้ และมลพิษข้ามแดน
มีการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด โดยได้รับเงินค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดที่เก็บจากผู้นำเข้าและผู้ผลิต เพื่อใช้แก้ปัญหามลพิษทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
หลักการที่สำคัญของกฎหมายสะอาด คือ ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย กฎหมายยังกำหนดให้มีมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ที่จูงใจให้ลดมลพิษ
กฎหมายมีบทลงโทษที่ชัดเจน สำหรับผู้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และยังส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
มีข้อสังเกตว่า กองทุนอากาศสะอาดอาจซ้ำซ้อนกับกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
หากพิจารณาเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติตามกฎหมายปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ไม่ได้ซ้อนกันแต่เป็นการส่งเสริมกัน กล่าวคือ กองทุนสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาในทุกมลพิษ ไม่ได้เจาะจงเพียงอากาศสะอาด แต่กองทุนอากาศสะอาด จะเจาะจงแก้ปัญหามลพิษทางอากาศโดยตรง
เงินงบประมาณในกองทุนสิ่งแวดล้อมจะได้มาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชนเป็นหลัก ขณะที่กองทุนอากาศสะอาดจะเก็บจากผู้ก่อมลพิษเป็นหลัก เพื่อนำมาใช้
แก้ปัญหาเฉพาะมลพิษทางอากาศ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แม้จะเห็นด้วยในหลักการของกฎหมายอากาศสะอาด แต่ยังท้วงติงประเด็นสำคัญหลายประการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อสังเกตว่า ต้นทุนเพิ่ม โทษแรง และซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม
ภาคธุรกิจมีความเห็นว่า การเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด ซ้ำซ้อนกับภาษีเดิม และกระทบต้นทุนภาคธุรกิจ เป็นการเพิ่มภาระทางธุรกิจ ซึ่งภาครัฐควรจะมีแรงจูงใจทางภาษี และมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนในการรักษาสภาพอากาศสะอาด
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมีความเห็นอีกว่า ร่างกฎหมายอากาศสะอาด มีอัตราโทษสูงกว่ากฎหมายฉบับอื่นๆ ทั้งโทษทางแพ่งและโทษอาญา
การจะให้ร่างกฎหมายอากาศสะอาด เป็นที่พอใจแก่ประชาชนทุกภาคส่วน คงเป็นเรื่องยากและแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องชั่งน้ำหนัก เปรียบเทียบระหว่าง ผลดี ผลเสีย กับผลประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเป็นสำคัญ
เส้นทางของร่างกฎหมายสะอาด ที่แม้จะผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่ยากลำบาก แต่การพิจารณาของวุฒิสภา อาจไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี