ในฐานะนักพัฒนาคน ผมสนใจบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์มาตลอด ทั้งหมอ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่บริหารทางการแพทย์ในสถานพยาบาลต่างๆ เพราะถ้าถามว่าประเทศไทยเก่งอะไร 3 เรื่องคนมักจะพูดถึงคือ
1. การท่องเที่ยว
2. การเกษตร
3. การแพทย์ การรักษา และการป้องกัน
ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับบุคลากรทางการแพทย์หลายกลุ่ม เช่น หมอ พยาบาล หรือทางการเภสัชฯ ได้เห็นความสามารถของบุคลากรเหล่านี้
ในยุค COVID-19 เราต้องยกย่องบุคลากรทางการแพทย์อีกกลุ่มหนึ่งคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จากการศึกษาข้อมูลพบว่า อสม.ในประเทศไทยมีมานานกว่า 30 ปี ปัจจุบันมีประมาณ 8 แสน ถึง 1 ล้านคน
ปัจจุบัน อสม.ได้รับการยกย่องจาก WHO (องค์การอนามัยโลก) เกิดขึ้นจากแนวคิด Health for all by the year 2000 ซึ่งทำโดย WHO ของสหประชาชาติ แปลว่า
คนไทยทุกคนไม่ว่าจนหรือรวยต้องมีสุขภาพดีทั่วหน้าภายใน2020 จึงเป็นการเกิดของ อสม.ตั้งแต่บัดนั้น
จำได้กว่า 15 ปีที่ผ่านมา ผมได้พบรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขท่านหนึ่ง มีโอกาสได้เรียนว่ามีชาวอินเดียที่เก่งเรื่อง IT แนะนำว่า อสม.เป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากในประเทศไทย ควรจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยทำงาน คล้ายเป็นเครื่องมือแบบดิจิทัลที่เก็บข้อมูลได้ วัดความดันได้วิเคราะห์สาเหตุของโรคขั้นต้น ได้รวดเร็ว แม่นยำ และนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อป้องกันไม่ให้มีโรคอันตรายต่อไป
ผมจำได้ว่าชาวอินเดียท่านนี้ได้เชิญผมไปอินเดียเพื่อศึกษาเรื่อง Telemedicine (การรักษาสุขภาพแบบทางไกล เพื่อให้ อสม.มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น)
ถึงแม้ว่าโครงการดังกล่าวยังไม่ประสบความสำเร็จในช่วงนั้น แต่อสม.ก็ทำงานได้เต็มที่ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและในอนาคต รัฐบาลนายกฯประยุทธ์ อาจจะพัฒนาศักยภาพของเขาทางด้านเทคโนโลยีต่อไป
ยุค COVID-19 ประเทศไทยประสบความสำเร็จจากตัวเลขผู้ป่วยทั้งประเทศมีแนวโน้มลดลง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากบทบาทของ อสม.ก็เป็นได้ เพราะนอกจากจะประจำอยู่ที่หมู่บ้าน มีความคุ้นเคยกับประชาชนในหมู่บ้าน สิ่งสำคัญคือยังทำหน้าที่ช่วยดูแลบุคคลที่เสี่ยง เช่น มาจากสนามมวย หรือต่างประเทศที่กลับไปหมู่บ้านโดยช่วยดูแลไม่ให้บุคคลที่อยู่ในภาวะเสี่ยงการติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งทำได้ดี จนตัวเลขผู้ป่วยของไทยลดลงเป็นลำดับ
บทบาทของ อสม. ดูแลผู้เสี่ยงในต่างจังหวัดได้ดี อาจมีสาเหตุสำคัญ 2 เรื่อง
1. ต้นทุนในการหาข้อมูลในหมู่บ้านต่ำ เพราะ อสม.ก็คือชาวบ้านคนหนึ่งที่มีความคุ้นเคยกับชาวบ้านอยู่แล้ว ทำให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะตอนไม่มี COVID ก็รู้จักชาวบ้านอยู่แล้วทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าต้นทุนข่าวสาร Information Costของ อสม.ต่ำ
2. การเจรจาขอความช่วยเหลือ ขอความเห็นใจได้ดีจากผู้ที่อาจแพร่เชื้อของชาวบ้าน ผมเรียกว่า ต้นทุนการเจรจาต่อรอง (Negotiation Cost) ต่ำ เพราะรู้จักกัน มีความคุ้นเคยอย่างดี ทำให้แนะนำการป้องกันเพื่อไม่ให้ COVID แพร่กระจายในต่างจังหวัดประสบความสำเร็จ
จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อต่างจังหวัดไม่มาก เพราะทุกหมู่บ้านมี อสม.ที่มีความมุ่งมั่นทำงานเรื่อง COVID ด้วยความเต็มใจและทำได้ดีผมขอชื่นชม อสม. หวังว่ารัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกฯประยุทธ์จะดูแลและให้ขวัญกำลังใจ อสม.ต่อไป
1. มีการพัฒนาอสม.ในการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง
2. พัฒนาเครื่องมือทางเทคโนโลยีมากขึ้น
3. เพิ่มขวัญกำลังใจ เช่น ค่าตอบแทนซึ่งปัจจุบันมีน้อยมาก
4. ยกย่องให้เกียรติบุคลากร อสม.มากขึ้น (Respect and Dignity ยกย่องให้เกียรติศักดิ์ศรีมากขึ้น)
5. สร้างเรื่องราว (Story) ให้ประเทศอื่นรับทราบเพื่อเป็นรูปแบบที่ดีต่อประเทศอื่นๆ เช่น อเมริกา ยุโรป ได้รับทราบ
นอกจากนั้นผมเคยพัฒนาบุคลากรสำนักอนามัย กทม. เป็นแพทย์ พยาบาล กทม.ควรสนับสนุน อาสาสมัครสาธารณสุขในชุมชนแออัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง COVIDหรือการรักษาและลดความเสี่ยงในชุมชนแออัดรวมทั้งการดูแลผู้สูงอายุต่อไป
ผมอยากจะฝากข้อคิดของต่างประเทศมาฝากอีกเรื่อง
ผมได้พูดบ้างแล้ว เรื่องผู้นำในอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก มีวิจัยทางการแพทย์ทั้งของรัฐและเอกชนดีที่สุดในโลก แต่มีผู้ป่วยกว่า 5 แสนคน และคนตายกว่า 22,000 คน อันดับหนึ่งของโลก
ผมได้อ่านข้อคิดของโอบามา ยุคอีโบลาระบาด 2014ว่าโอบามาทำสำเร็จอะไรบ้าง ทำไมทรัมป์ทำผิดพลาดอย่างมหาศาล โลกไม่น่าอภัย
ประเด็นแรก คนที่มารับหน้าที่เป็นหัวหน้าในยุคโอบามาที่อีโบลาระบาด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการและเป็นมืออาชีพ ส่วนคนที่มารับหน้าที่ของทรัมป์คือ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) ซึ่งเป็นลูกน้องที่เป็นนักการเมือง ที่เกรงใจทรัมป์อยู่ตลอด ไม่มีอิสระในการทำงาน ส่วนโอบามาตั้งรอน เคลน (Ron Klain) ซึ่งเป็นนักกฎหมายไม่มีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาล แต่มีอำนาจเต็มที่โดยไม่มีการแทรกแซงจากประธานาธิบดีเรียกตำแหน่งว่า Ebola Czar
ผลงานของเคลน (Klain) ในช่วงอีโบลา มี 2 เรื่อง
เรื่องแรก อีโบลา เกิดขึ้นที่แอฟริกา 2014 เมื่อเกิดขึ้นรัฐบาลโอบามา ส่งทีมงานไปช่วยแอฟริกาถึง 10,000 คนแต่ในขณะที่ COVID เกิดที่จีนและรุนแรงที่อิตาลี รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้นำของโลก ไม่ช่วยจีน หรืออิตาลีเลย ยังโจมตีจีนว่านำเอาไวรัสมาติดอเมริกา เรียกว่า Chinese Virus
ข้อที่สอง คุณ Ron Klain Ebola Czar ได้กล่าวว่าปัญหาของ COVID-19 ปัจจุบันอเมริกามีเรื่องใหญ่ๆ ที่ทรัมป์ต้องถือว่าเป็นบทเรียน 2 เรื่อง
1. รัฐบาลทรัมป์ไม่มีความสามารถ (Competence)
1.1 ในช่วงแรก เกาหลีมีการตรวจอาการ (Test) กว่า150,000 คน แต่ช่วงแรกอเมริกาตรวจอาการ (Test) แค่ 5,000-100,000 คน ปัจจุบันอเมริกายังไม่มีระบบ Test พอเพราะมีประชากร จำนวนมากถึง 320 ล้านคน ซึ่งเป็นเรื่องเสี่ยงมากเพราะมีคนติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการอาจจะเป็นพาหะได้
1.2 รัฐบาลกลางต้องเตรียมความพร้อม (Capacity) ในบุคลากร เครื่องมือการแพทย์ โรงพยาบาล เตียง เครื่องมือช่วยหายใจ แต่รัฐบาลทรัมป์ไม่มีความพร้อม ในช่วง 3-4 สัปดาห์แรก ทรัมป์ยังไม่เป็นผู้นำเรื่องการ Test ทำให้มีคนเสี่ยงมาก และไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ทั่วถึงทุกรัฐ
2. จุดอ่อนของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้คนอเมริกันขาดความมั่นใจในผู้นำ
2.1 ข้อผิดพลาดคือ ผู้นำไม่พูดความจริง เช่น บอกว่าCOVID ไม่สำคัญเป็นเรื่องเหลวไหล (Hoax) เดี๋ยวก็หายไปเองแต่ตัวเลขฟ้อง เพราะไม่ลด ทำให้คนอเมริกันทั้งประชาชน และวงการการแพทย์ และภาคธุรกิจมีความไม่มั่นใจ จากที่รัฐบาลทรัมป์ไม่พูดความจริง แต่อยากให้คนมีขวัญกำลังใจ มีความหวังแบบผิดๆ โดยไม่พูดความจริง ในช่วงแรก มาจากการคิดว่าปัญหาไม่มาก เดี๋ยวก็หายไปเอง เป็นการสื่อสารที่ผิด ทำให้คนอเมริกาไม่เชื่อมั่น (Trust) และขาดความเชื่อถือ (Credibility)จึงเกิดปัญหาถึงปัจจุบัน
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
อสม.เคาะประตูบ้านป้องกัน COVID-19
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี