หลังจากที่ประเทศไทยประสบโรคร้าย COVID-19 ระบาด รัฐบาลได้กำหนดให้โรงเรียนทุกระดับตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม ถึงอุดมศึกษาต้องหยุดการเรียนการสอน และหากจำเป็นก็จะต้องเรียนทางไกลด้วยระบบอินเตอร์เนต
กำหนดการที่โรงเรียนทั้งหลายเคยเปิดเทอมขณะนี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว คือ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า ควรจะเปิดโรงเรียนได้แล้วหรือยัง จนเกิดวิวาทะ ด่าทอ เป็นข่าวยอดฮิตในปัจจุบัน
บ้างก็ว่าควรเปิดโรงเรียนได้แล้ว
บ้างก็ว่าควรเลื่อนการเปิดเรียนออกไปถึงเดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม
ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการสวมบทพ่อรู้ดีสั่งปิดโรงเรียนและให้เปิดพร้อมกันวันที่ ๑ กรกฎาคมทุกท้องถิ่นทั่วไทย
จำเป็นต้องเปิดเรียนพร้อมกันหรือไม่
คำถามที่น่าสนใจ คือ โรงเรียนระดับต่างๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นที่แตกต่างกันทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน รวมทั้งกรุงเทพมหานคร จำเป็นต้องเปิดเรียนพร้อมกันทั่วประเทศหรือไม่ อะไร คือ ปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณา
๑. ในเมื่อการศึกษา คือ กระบวนการเรียนรู้ในหลักการแล้วจะเรียนเมื่อไรก็ย่อมจะได้และควรเรียนรู้ตลอดชีวิต การเปิดและปิดเรียนพร้อมกัน อาจมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่การบริหารจัดการ โดยเฉพาะจะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริหารส่วนกลางควบคุมดูแล แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นถึงกลับละเมิดไม่ได้
๒. การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทย ขณะนี้ลดระดับลงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ จะมีปัญหาอยู่ก็แต่ในเมืองใหญ่และกลุ่มคนเฉพาะใน
บางท้องถิ่น
ได้ปรากฏว่าหลายจังหวัด หลายท้องถิ่น ไม่เคยมีผู้ติดเชื้อ COVID-19 เลย และมีอีกหลายจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อมามากกว่า ๑๔ วันแล้ว
๓. การเรียนการสอนที่จะต้องเปิดพร้อมกันทั่วประเทศ โดยแก้ปัญหาให้เรียนทางไกลหรือเรียนออนไลน์ มีปัญหาตามมาหลายประการ คือ
๑) ท้องถิ่นในชนบทจำนวนไม่น้อยยังไม่มี WiFi ไม่มี Interernet และครอบครัวของนักเรียนจำนวนมาก ยังไม่มีคอมพิวเตอร์หรือแท็บเลตใช้
๒) การเรียนทางไกลหรือระบบออนไลน์เป็นของใหม่ที่ทั้งครูและนักเรียนไม่คุ้นเคย ไม่เพียงแต่โปรแกรม หรือแอพพลิเคชั่นที่ใช้เท่านั้น วิธีการเรียนการสอน การทำกิจกรรม การมีส่วนร่วม รวมทั้งสมาธิของผู้เรียนที่ต้องอยู่หน้าจอนานๆ ก็อาจเกิดปัญหา
การใช้วิธีบรรยายให้ห้องเรียนมาถ่ายทอดทางทีวีหรือทางระบบออนไลน์ไม่น่าจะเป็นวิธีการเรียนการสอนที่ถูกต้องเหมาะสม ทำให้นักเรียนเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้อย่างถูกต้อง
ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของการเรียนแบบใหม่นี้ ยากจะคาดหมายได้ว่าจะประสบความสำเร็จ
๓) นักเรียนส่วนมากยังต้องหวังพึ่งอาหารกลางวันที่โรงเรียน เพื่อเสริมสร้างโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสม มีการศึกษาวิจัยพบว่าในช่วงปิดเทอมเด็กนักเรียนขาดสารอาหารและมีโภชนาการที่ด้อยไปอย่างมาก
๔) การหยุดเรียนนาน เป็นการผลักเด็กนักเรียนออกจากระบบการศึกษาโดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่อยู่ช่วงรอยต่อประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย อุดมศึกษา ที่ปกติก็จะมีนักเรียนจำนวนหนึ่งต้องออกจากระบบการศึกษาไทยอยู่แล้ว
๕) การเรียนการศึกษาต่อเป็นการลงทุนของครอบครัวและตัวนักเรียน เพราะเป็นการลงทุนในปัจจุบัน ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในปัจจุบันเพื่อหวังจะได้ผลตอบแทนในอนาคต
นักเรียนที่มีอายุ ๑๒ ปี หรือประมาณจบประถม ๖ ที่สามารถทำงานหาเงินได้จะรู้สึกว่าเขาเสียโอกาสที่จะมีรายได้ จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนในการเรียนของเขามากขึ้น
ดังนั้น เมื่อหยุดเรียนเป็นเวลานาน โอกาสที่จะทิ้งการศึกษาในระบบโรงเรียนก็จะเพิ่มสูงมากขึ้น
๖) วิธีการเรียนการสอนในปัจจุบัน ครูและโรงเรียนจำนวนหนึ่งไม่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนอยากเรียนมากนัก เพราะยังติดอยู่กับการบังคับกฎระเบียบ และอำนาจนิยม
เมื่อนักเรียนหยุดเรียนนานระยะหนึ่ง ก็จะรู้สึกเปรียบเทียบถึงสภาพแวดล้อมและเป็นแรงผลักให้ออกนอกระบบมากขึ้น
๗) การหยุดเรียนนานเกรงว่าจะเกิด “การท้องที่ไม่พร้อม” เพิ่มมากขึ้น ดังเช่นเมื่อครั้งเกิดโรคระบาด “อีโบลา” ทำให้เด็กในแอฟริกาต้องหยุดเรียน เด็กผู้ชายต้องไปหางานทำ และเด็กผู้หญิงเกิด “ท้องที่ไม่พร้อม” ต้องออกจากการศึกษาในระบบโรงเรียนจำนวนมาก บางคนประสบชะตากรรมตามมาจนเป็นโสเภณีเด็ก
๘) นักเรียนนักศึกษาในเมืองใหญ่ที่ “เจริญ” ด้านวัตถุและระบบเทคโนโลยี Internet / WiFi อาจจะมีความพร้อมมากกว่าชนบทที่อยู่ห่างไกล การเรียนทางไกลหรือออนไลน์ก็อาจจะมีประสิทธิผลดีกว่า
ขณะที่นักเรียนในชนบทห่างไกลจะมีความพร้อมน้อยกว่าในการเรียนด้วยเทคโนโลยีทางไกลแต่ขณะที่เด็กในชนบทมีความเสี่ยงจะติดเชื้อCOVID-19 น้อยกว่าในเมืองที่ “เจริญ” โรงเรียนจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของเขา และเป็นแหล่งอาหารการกินที่จำเป็นอีกด้วย
จึงไม่มีความจำเป็นที่โรงเรียนในท้องถิ่นที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีสภาพการ สภาพปัญหาต่างกัน จะต้องเปิดเรียนเพื่อให้เด็กศึกษาหาความรู้พร้อมๆ กัน
ท้องถิ่นไหนพร้อม สามารถกำหนดมาตรการป้องกันโรคระบาดได้ ก็ควรจะได้ตัดสินใจเปิดโรงเรียน และสถานศึกษาของแต่ละท้องถิ่นได้ด้วยตัวของเขาเอง
โดยปรึกษาหารือกับกรรมการโรงเรียน ผู้บริหารในท้องถิ่น ผู้ปกครองนักเรียนและผู้บริหารในแต่ละจังหวัดของตน เพื่อกำหนดมาตรการ เวลาเปิดเรียน ตามสภาพและความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่นได้ ส่วนการสอบในบางชั้นปีที่จำเป็นต้องสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ก็สามารถที่จะให้โรงเรียนที่เปิดก่อนในครั้งนี้รอเวลาเพื่อไปสอบพร้อมกันได้
รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ จะได้ทุ่มทรัพยากรไปช่วยการเรียนทางไกลหรือเรียนออนไลน์ให้กับโรงเรียนที่อยู่ในเขตที่ยังมีการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างเต็มที่
การระบาดของเชื้อโรคร้ายไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ ก็มีข้อดี คือ ช่วยให้ท้องถิ่น ชุมชน ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกำหนดชีวิตของตนเองได้มากขึ้น
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี