เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ศาสตราภิชานแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต เขียนบทความ “ประเมิน รบ.ตู่ สู้สงคราม COVID-19” เผยแพร่ผ่านคอลัมน์ “ขอคิดด้วยฅน” (หน้า 3 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันจันทร์ที่ 18 พ.ค.2563) ให้คะแนนรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบ่งเป็น 2 ด้าน ซึ่งต่างกันอย่างมากคือ “ในขณะที่ด้านการป้องกันเชื้อโรคและการรักษาอยู่ระดับเกรด A แต่ด้านมาตรการเยียวยาและการจัดการทางด้านเศรษฐกิจกลับได้เพียงเกรด C+” ซึ่ง อาจารย์เจิมศักดิ์ให้เหตุผลไว้ดังนี้..
“ระบบการเยียวยาและการจัดการด้านเศรษฐกิจดูจะสับสน เนื่องจากในยามวิกฤติเช่นนี้ การเยียวยาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคิดเล็กคิดน้อย คิดละเอียด แยกแยะกลุ่มบุคคลที่จะช่วยเหลือ ทั้งอาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ที่มีหลายอาชีพพร้อมกันและนักศึกษาที่ประกอบอาชีพ ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ในยามวิกฤติเช่นนี้ ควรจะต้องกระจายความช่วยเหลือเยียวยาให้เร็วที่สุดเป็นพื้นฐานไปชั้นหนึ่งก่อน ให้กับทุกคนที่ไม่ได้มีระบบสวัสดิการจากประกันสังคมหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปก่อนเป็นการเบื้องต้น แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยเยียวยาเพิ่มเติมอีกในภายหลัง ก็น่าจะบรรเทาความเดือดร้อนได้ดีกว่า”
นอกจากนี้ อาจารย์เจิมศักดิ์ยังบรรยายต่อไปว่า “ทีมเศรษฐกิจซึ่งเป็นหน่วยเสบียง และหน่วยเยียวยาความเสียหายในการรบ ให้เกรด C+ ความสับสนในวัตถุประสงค์ที่ซ้อนทับหลายวัตถุประสงค์ ในการเยียวยายามวิกฤติ ก่อให้เกิดปัญหาค่อนข้างมาก การกำหนดคุณสมบัติที่มีความละเอียดค่อนข้างมาก การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสมัคร ขอรับการเยียวยารับเงินช่วยเหลือดูจะซับซ้อนยุ่งยาก แม้จะมีการระดมมหาเศรษฐี20 คน มาร่วมคิดร่วมสนับสนุน แต่ดูจะช้าไม่ทันกับปัญหาที่ลุกลาม
ขณะที่รัฐบาลยังละเลยการกระตุ้นให้มหาเถรสมาคมนำเงินออมสะสมของประชาชน ที่อยู่ในบัญชีของวัดและพระซึ่งมีจำนวนมาก มาสร้างประโยชน์ช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ในครั้งนี้มีเพียงวัดบางแห่งและพระบางรูปออกมาสงเคราะห์ประชาชนเป็นรายๆ ไป รัฐบาลขาดการวางแผนและชักชวนให้กองทัพทั้ง 3 เหล่าทัพนำทรัพยากรที่มีจำนวนมากมาใช้ประโยชน์ในยามวิกฤติมากเท่าที่ควรจะเป็น”
บทวิเคราะห์ข้างต้นสอดคล้องกับภาพที่เห็นตลอดเดือนเม.ย. 2563 ที่ผ่านมา เช่น การที่คณะนักวิชาการกลุ่มหนึ่งทำการ “รวบรวมข่าว” ที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ว่าด้วย “ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายเพราะได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19” โดยเก็บเฉพาะข่าวที่ระบุชัดเจนว่าแรงจูงใจของผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จและพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ มาจากผลกระทบ เช่น ถูกเลิกจ้างเพราะสถานประกอบการถูกรัฐสั่งปิด ซึ่งรวมกันแล้วก็นับได้หลายสิบราย
และในจำนวนนี้ “หลายรายยังเชื่อมโยงกับปัญหาความล่าช้าหรือถูกตัดสิทธิ์จากระบบคัดกรองในโครงการเราไม่ทิ้งกัน” อย่างที่เห็นภาพประชาชนรวมตัวชุมนุมประท้วงเพื่อทวงถาม ณ กระทรวงการคลัง รวมถึงภาพสะเทือนใจที่เป็นข่าวไปทั่วโลก กรณีสาวใหญ่รายหนึ่งตัดสินใจดื่มยาพิษหมายฆ่าตัวตายหน้าประตูรั้วของกระทรวง เพราะเข้าใจว่าไม่ได้รับเงิน เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2563 เคราะห์ดีที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและช่วยชีวิตไว้ได้ทัน และมีรายงานในเวลาต่อมาว่า เงินเยียวยางวดแรก5,000 บาท ถูกโอนเข้าบัญชีสาวใหญ่รายนี้ในอีก 2 วันหลังเกิดเหตุดังกล่าว
ต้องบอกว่า “ครั้งแล้วครั้งเล่า” นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ผลการประเมินทุกสำนักล้วนเหมือนกันคือ “สอบตกด้านเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะในประเด็น “เศรษฐกิจระดับฐานราก” ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนหาเช้ากินค่ำ มีฐานะระดับล่างและกลางค่อนล่างอันเป็นชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยย้อนไปเมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระหว่างเดือนพ.ค.2557-ก.ค. 2562 โพลล์ทุกเจ้าชี้จุดเด่นในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่มีจุดด้อยในด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
จากนั้นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งภายใต้การนำของพรรคพลังประชารัฐ (ก.ค. 2562 ถึงปัจจุบัน) ผลการสำรวจก็ยังคงไม่เปลี่ยน อาทิ “สวนดุสิตโพล”มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “เปรียบเทียบผลงานระหว่างรัฐบาลประยุทธ์ 1 และรัฐบาลประยุทธ์ 2” เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2562 พบว่า ในส่วนผลงานที่แย่ลง อันดับ 1 คือ การควบคุมราคาสินค้า ของแพง ค่าครองชีพสูง ร้อยละ 67.87 และผลงานที่ยังเหมือนเดิม อันดับ 1 คือ ยังแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชนไม่ได้ ร้อยละ 56.94
วันที่ 13 ธ.ค. 2562 “เอยูโพล” มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “ดัชนีความเครียดของคนไทยไตรมาส 3/2562” พบว่า กลุ่มตัวอย่างราวร้อยละ 90 มีความเครียด และสาเหตุอันดับ 1 ของความเครียดมาจากสภาพเศรษฐกิจ/การเงิน ปัญหาปากท้องถึงร้อยละ 89.34 อีกทั้งเมื่อแยกกลุ่มตัวอย่างเป็นรายช่วงวัยก็ยังพบว่าทุกวัยล้วนเครียดเรื่องเศรษฐกิจ-ปากท้องเป็นหลักเหมือนกัน
ซ้ำร้าย รัฐบาล “ลุงตู่” ยังอาจเข้าสำนวน “ล้อยันลูกบวช” ดังการเปิดเผยของ ธนาคารโลก (World Bank)เผยแพร่รายงาน “จับชีพจรความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2563 ระบุว่า“ระหว่างปี 2558-2561 (ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในรัฐบาลทหาร คสช.) อัตราความยากจนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.21 เป็นร้อยละ 9.85”และค่าสัมบูรณ์ของประชากรที่อยู่ในภาวะยากจนเพิ่มสูงขึ้นจาก 4,850,000 คน เป็นมากกว่า 6,700,000 คน
ในจำนวนนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)และภาคกลาง ได้รับผลกระทบมากที่สุด และที่น่าสนใจ“การสำรวจครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบว่าภาคใต้ยากจนลง”อนึ่ง การสังเกตข้อมูลตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนต่างรู้สึกว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่แย่ลงกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วหลังจากนี้ “ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจมาพร้อมกับนิยาม นายกฯ ในยุคที่คนไทยจนลง” เพราะหากเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนๆ เช่น ปี 2541 ปี 2543 และปี 2551 ซึ่งคนไทยยากจนลงเช่นกัน ในปีเหล่านั้นล้วนเชื่อมโยงกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน
สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นยุครัฐบาลทหารหรือรัฐบาลเลือกตั้ง และไม่ว่าจะเป็นเวลาปกติหรือช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 “นายกฯ ลุงตู่” สอบตกด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะระดับฐานรากเสมอทุกครั้งไป จึงเป็นคำถามว่า“แล้วเมื่อไรจะสอบผ่าน?” เพราะนั่นหมายถึงประชาชนจะได้รู้สึกว่าตนเองและครอบครัวอยู่ดีกินดีขึ้นบ้าง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี