หากจะ “น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ”โลกติเตียน ก็เป็นสิ่งที่ต้องละเว้น ไม่ปฏิบัติ การเมืองไทยในขณะนี้เข้าข่าย “โลกติเตียน” อยู่หลายเรื่อง
๑. การที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐจำนวนมากกว่า ๑๐ คน ไปเทียบเชิญพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค เพื่อเสนอให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยไปพบกันพร้อมหน้าที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ ๕ จังหวัด ตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ ๑รักษาพระองค์
ก่อให้เกิดประเด็นที่โลกติเตียนว่า เหตุใดจึงใช้มูลนิธิฯ ที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารเป็นที่นัดพบ ทั้งๆ ที่มูลนิธิฯมีข้อบังคับห้ามเกี่ยวข้องกับการเมือง การใช้ค่ายทหารซึ่งเป็นสถานที่ราชการเป็นที่ตั้งของมูลนิธิฯ และเป็นที่นัดพบเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง จะเป็นความงดงามเหมาะสม หรือชวนให้ “โลกติเตียน”
หากจะอ้างว่า พลเอกประวิตรเป็นประธานมูลนิธิฯ จึงสามารถใช้สถานที่มูลนิธิฯ ภายในค่ายทหารได้ คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมจึงไม่เลือกที่จะไปพบที่ห้องทำงานภายในทำเนียบรัฐบาลในฐานะรองนายกรัฐมนตรี
จริงหรือไม่ที่อำนาจ อาจทำให้กลุ่มคนเหล่านี้คิดไปได้ว่า จะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องคิดไม่ต้องระวังมาก ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามอย่างชัดเจนก็ไม่สนใจ แต่อาจลืมคิดในประเด็น “โลกติเตียน”
๒. การที่พลเอกประวิตร อดีต ผบ.ทบ.ตั้งมูลนิธิป่ารอยต่อฯ อยู่ในค่ายทหารและมีกิจกรรมทางการเมืองในค่ายทหารทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ จะสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ในค่ายทหารได้หรือไม่ ทหารซึ่งเป็นข้าราชการควรจะวางตัวเป็นกลางทางการเมืองจะใช้สถานที่สนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือจะมีส่วนร่วมอย่างลับๆในการตั้งพรรคการเมืองได้หรือไม่
ประชาชนจึงต้องส่งเสียงเพื่อให้มีการทบทวนบทบาทหน้าที่ของทหาร แม้พลเอกประวิตรจะเป็นอดีตนายทหาร แต่จะต้องไม่นำกองทัพมาแปดเปื้อนในการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ของพรรคการเมือง
ส่วนที่มีผู้ไปเข้าพบพลเอกประวิตรในวันนั้น อ้างว่า “การที่ทหารมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองถือว่าเป็นเรื่องดี ถ้าเทียบกับอาชีพอื่นแล้วทหารเป็นนักการเมืองถือว่าดีที่สุด” ต้องไม่ลืมว่าทุกอาชีพมีความสำคัญที่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองเสมือนเป็นฟันเฟืองเชื่อมร้อยต่อซึ่งกันและกัน ทุกอาชีพมีความสำคัญที่จะประกอบกันเพื่อบริหารประเทศ ทหารดีก็มีทหารเลวก็มาก นักเศรษฐศาสตร์ก็มีทั้งดีและเลว แพทย์ วิศวกร และพ่อค้าก็มีทั้งดีทั้งเลว คงตอบไม่ได้ว่าอาชีพใดจะมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ดีกว่ากัน
หากพิจารณาพรรคการเมืองเหมือนหน่วยงานหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง ทหารก็คล้ายกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่จะต้องดูแลความมั่นคงภายนอกของหน่วยงานและบริษัท แต่ไม่เคยพบว่าหน่วยงานหรือบริษัทใดจะนิยมให้หน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นผู้บริหารสูงสุด
๓. พรรคพลังประชารัฐจะมีการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคในวันที่ ๒๗ มิถุนายน แต่หลังพิธีกรรมที่เกิดขึ้น ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ทุกคนรู้แล้วว่าพลเอกประวิตรจะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ การประชุมเพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรคที่จะมีในวันที่ ๒๗ มิถุนายน จึงเป็นเพียงพิธีกรรมหรือการแสดงประดับระบอบประชาธิปไตย ที่จะมีการเสนอชื่อ มีการลงมติ จะนำไปสู่ “โลกติเตียน” หรือไม่
๔. ละครการเมืองเรื่องพรรคในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นตั้งแต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ ๔ กุมาร เปิดตัวเป็นผู้ก่อตั้งพรรคกับนายชวน ชูจันทร์ บรรดาขุนทหารที่ประกอบกันเป็น คสช.ต่างอยู่เบื้องหลังและค่อยๆ เปิดตัวทีละน้อย เข้ามาดำรงตำแหน่ง
ไม่ว่าพลเอกประวิตร จะเข้าเป็นสมาชิกพรรค เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค และในที่สุดก็เป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีส่งเทียบเชิญพลเอกประยุทธ์ให้เป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค และในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
เราเคยมีความรู้สึกกังขา ติเตียน ว่าแม่ค้าพ่อค้าที่ค้าขายบนฟุตบาทสาธารณะต่างค่อยๆ ตั้งเก้าอี้ ตั้งแผงค้า ยึดที่เพื่อเป็นการหยั่งท่าที สุดท้ายก็ยึดฟุตบาทสาธารณะ
เราเคยกังขา ติเตียนบ้านเรือนที่อยู่ริมแม่น้ำลำคลอง สร้างระเบียงชานยื่นออกไปในลำน้ำ และในที่สุดก็ต่อเป็นห้องครัวหรือห้องรับประทานอาหารริมแม่น้ำ
เราเคยติเตียนผู้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในที่ราชพัสดุหรือป่าสงวนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม โดยค่อยๆ รุกคืบจากจำนวนน้อยไปหามาก
วัฒนธรรมของการหยั่งเชิงและรุกคืบนี้ พรรคการเมืองควรเอาเป็นแบบอย่าง หรือจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ทุกอย่างต้องเปิดเผยโปร่งใสตรงไปตรงมา จึงไม่ถูกโลกติเตียน
๕. การที่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด ๓ ฉบับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเพราะฝ่ายบริหารคือรัฐบาลเป็นผู้ใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลของประชาชนเพื่อทำโครงการ จึงสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ
แต่การที่รัฐบาลส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเป็นสส.และเป็นผู้แสดงออกในการปกป้องรัฐบาลอย่างสุดลิ่มมาเป็นประธานกรรมาธิการ แม้จะเป็นสิทธิ์แต่ก็จะขาดความน่าเชื่อถือ ที่คนกันเองพวกเดียวกันมาเป็นประธานตรวจสอบเสียเอง แม้จะเป็นผู้ประกาศจะน้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ การตรวจสอบการใช้เงินของประชาชนจำนวนมากขนาดนี้ก็เลยหมดความหมายหมดความน่าเชื่อถือไม่ผิดกฎหมายแต่ “โลกติเตียน”
๖. หลังจาก ป.ป.ช เชื่อว่านาฬิการาคาแพงที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่จำนวน ๒๒ เรือน เป็นนาฬิกาที่ยืมจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว และพลเอกประวิตรได้คืนนาฬิกาให้ทายาทนายปัฐวาทไปหมดแล้ว ป.ป.ช.มีมติว่าการยืมใช้คงรูป ไม่ต้องแจ้งในรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีจึงเป็นอันสิ้นสุดในชั้นของ ป.ป.ช
หลังจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อมูลนาฬิกา ๒๒ เรือนดังกล่าว แก่กรมศุลกากรอีกครั้งเพื่อให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป สื่อมวลชนรายงานว่า“ล่าสุดกรมศุลกากรตอบกลับ ป.ป.ช. ปฏิเสธที่จะดำเนินการให้ โดยอ้างว่ากรณีดังกล่าวต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน”
พ.ร.บ.ศุลกากร ๒๕๖๐ ที่บัญญัติว่า
มาตรา ๑๖๖ ของที่ยังมิได้เสียอากร ของต้องห้ามของต้องกําจัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร เป็นของที่พึงต้องริบตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๖๗ ให้พนักงานศุลกากร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจ มีอํานาจยึดหรือ อายัดสิ่งใดๆอันจะพึงต้องริบหรือเป็นที่สงสัยว่าจะพึงต้องริบตามพระราชบัญญัตินี้ไว้ได้
และนาฬิกานั้นย่อมตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๑๗๐ วรรคสอง
คุณรสนา โตสิตระกูล จึงได้ร้องเรียนนายกรัฐมนตรีว่าการที่กรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อป.ป.ช.ว่าไม่พบข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับนาฬิกาดังกล่าว จึงแสดงว่านาฬิกาที่พลเอกประวิตรยืมนายปัฐวาทมาสวมใส่เป็นนาฬิกาที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงเป็นนาฬิกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศุลกากรต้องริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ดังที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๒๔๒
การที่ ป.ป.ช. มีมติว่าการยืมใช้คงรูปของพลเอกประวิตรไม่ต้องแจ้งในบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในความเป็นจริงภาระการพิสูจน์ความถูกต้องเป็นของผู้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน แต่การที่ป.ป.ช.รับภาระเสียเองก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก และอาจถูก “โลกติเตียน”
การที่ป.ป.ช.ไม่ดำเนินการตรวจสอบว่า การขอยืมใช้นาฬิกาหรูถึง ๒๒ เรือน เป็นการได้รับผลประโยชน์อื่นใดที่เกิน ๓,๐๐๐ บาท ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
และการที่กรมศุลกากรบ่ายเบี่ยงที่จะดำเนินการสอบสวนเพื่อยึดหรืออายัดนาฬิกาที่อาจนำเข้าโดยไม่ได้เสียอากรก็ดี จึงเป็นสิ่งที่อาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ และ “โลกติเตียน”
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี