“ฉันไม่ต้องการมีลูก” เป็นคำพูดที่ได้ยินมากขึ้นในตอนนี้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ในความเป็นจริง ผู้หญิง ผู้จะเป็นแม่ น่าจะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจว่าจะมีลูกหรือไม่ เพราะเธอจะต้องรับภาระอุ้มท้อง คลอดลูก เลี้ยงดูลูกตั้งแต่แบเบาะจนโต โตแล้วก็ยังเป็นทุกข์แทนลูก
ขณะนี้ อัตราการเกิดของประชากรไทยลดลง
จากเดิมที่เคยมีลูกครอบครัวละ 4-5 คน ปัจจุบันเหลือเฉลี่ยน้อยกว่า 2 คน และจะน้อยลงกว่านี้อีก
จำนวนประชากรของไทย จะเริ่มลดน้อยลงในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้คนไทยจะมีอายุยืนมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น แต่เมื่อเด็กเกิดใหม่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ที่จากไป จำนวนประชากรของไทยจึงกำลังจะลดลง
ภายใต้อัตราการเกิดของคนไทยที่น้อยลง พบว่า “คนท้องกลับไม่พร้อม” แต่ “คนไม่พร้อมกลับท้อง”
จึงมีคำถามที่น่าเป็นห่วงว่า คุณภาพของเด็กที่เกิดและเติบโตภายใต้สภาวะที่ผู้เป็นแม่ไม่พร้อมจะเป็นอย่างไร?
อนาคต คนวัยทำงานของไทยจะมีคุณภาพอย่างไร? จะต้องรับภาระที่หนักอึ้ง จะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุยาวนานมากขึ้น จะต้องจ่ายภาษีเพื่อเป็นสวัสดิการมากขึ้น
ลองพิจารณาปัจจัยที่ทำให้หญิงไทยในปัจจุบันที่มีความพร้อมแต่มีลูกน้อย หรือไม่อยากจะมีลูก ที่ได้รับฟังจากหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ซึ่งได้รับเชิญมาร่วมเสวนา เพื่อสะท้อนความจริงให้กับงานศึกษาวิจัย เขาและเธอเปิดเผยให้ฟังพอจะประมวลได้ว่า
1. ปัจจุบัน ผู้หญิงไทยเรียนหนังสือ ได้รับการศึกษามากขึ้น ยาวนานขึ้นกว่าในสมัยก่อน
การแต่งงานมีครอบครัวจึงต้องช้าลง วัยเจริญพันธุ์ที่จะมีลูกได้จึงอยู่ในช่วงที่สั้นกว่าเดิม
2. ครอบครัวมีภาระที่ต้องทำงาน ทั้งหญิงและชาย การใช้ชีวิตในการทำงานเปลี่ยนไป ความเครียดมีมากขึ้น การเดินทางใช้เวลามากขึ้น ความใกล้ชิดความสัมพันธ์ในรูปแบบเดิมน้อยลง
ปัญหาที่พบ คือ มีลูกแล้วใครจะเป็นคนเลี้ยง เพราะต้องทำงานทั้งสองคน
3. คนยุคใหม่ มองว่าการมีลูกเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดู และไม่ได้มองว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเหมือนแต่ก่อน ให้ความสำคัญกรณีที่ลูกจะเป็นผู้สืบสายเลือด เป็นเพื่อนชีวิตที่จะคอยดูแลกันและกันในยามเจ็บป่วยและยามชรา
มองว่าสมัยปัจจุบันนี้ หวังพึ่งลูกได้ยาก มีลูกจึงเป็นภาระหลายปี ตัวเองก็ลำบากอยู่แล้ว จึงคิดว่า “ฉันไม่อยากมีลูก” หรือถ้ามีลูกก็ไม่เกิน 2 คน
4. พ่อแม่ยุคใหม่เป็นห่วงอนาคตของลูก ภายใต้สิ่งแวดล้อม ทั้งธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคมการเมือง อาชญากรรมในปัจจุบัน จึงไม่อยากสร้างปัญหาให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูก
5. หญิงชายจำนวนหนึ่งอยากจะมีลูก แต่เนื่องจากแต่งงานและตัดสินใจที่จะมีลูกเมื่ออายุมาก จึงมีลูกยากยอมเสียเงิน เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีลูกด้วยวิธีการต่างๆซึ่งมีราคาแพงมาก
บางคนก็ประสบความสำเร็จ บางคนก็ล้มเหลว
บางคนก็มีลูกแฝดไปเลยก็มี
6. ปัจจุบัน มีชายรักชาย หญิงรักหญิง ไม่รู้ว่าจำนวนมากขึ้นจากอดีตหรือไม่ แต่ที่เปิดตัวมีจำนวนมากขึ้น
เขาเหล่านี้ต้องการมีลูกก็มี แต่ก็มีลูกเองไม่ได้ จึงต้องอาศัยแม่อุ้มบุญ ตั้งครรภ์แทน และบางส่วนก็กลายเป็นธุรกิจ เธอเหล่านี้จะมีความรู้สึกอย่างไรในวันแม่
7. ในวงเสวนาวิชาการที่เชิญสาว-หนุ่ม มาร่วมเปิดใจว่าอยากมีลูก-ไม่อยากมีลูก เพราะเหตุใด? พบกรณีที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่า
7.1 สาวโรงงานท่านหนึ่ง บอกกับที่ประชุมว่า “อยากมีลูก แต่ไม่อยากมีผัว” เพราะคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะเจอผู้ชายที่เป็นผัวไม่รับผิดชอบ เมา เจ้าชู้ มีเมียมาก
เมื่อซักว่า แล้วทำอย่างไร เมื่ออยากมีลูก แต่ไม่อยากมีผัว?
เธอเลี่ยงตอบว่า มีเพื่อนผู้หญิงคิดเหมือนเธอได้ไปผสมพันธุ์ (มีเพศสัมพันธ์เพื่อสืบพันธุ์) โดยตกลงกับเพื่อนชายให้หลับนอนด้วย และเมื่อติดลูก ตั้งท้อง ก็จะขอให้ผู้ชายจากไป ทั้งหมดนี้ให้ผู้ใหญ่รับรู้ข้อสัญญาใจ
แต่เมื่อซักถามว่า เมื่อตั้งท้องแล้ว ผู้ชายมีปฏิกิริยาอย่างไร?
เธอบอกว่า แรกๆ ก็จะไม่ยอมจากไป เพราะมีความผูกพัน (ไม่ได้ถามว่าผูกพันกับเธอหรือกับลูก)แต่ในที่สุดเธอ และพ่อแม่ของเธอก็ขับไล่ผู้ชายให้จากไป
7.2 วงเสวนาได้รับคำบอกเล่าจาก “สาวมั่น” อายุ 30 ปีเศษ รับราชการอยู่กระทรวงแห่งหนึ่ง เมื่อตั้งคำถามว่า เธอคิดจะมีลูกหรือไม่?
เธอย้อนโดยตั้งคำถามกลับว่า ทำไมต้องคิดมีลูกด้วย? ทุกวันนี้ก็มีภาระกับตัวเองมากอยู่แล้ว?
ไม่เคยคิดจะมีลูก และไม่มีวันจะคิดมีลูก!
เมื่อถามเธอว่า อนาคตเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆต่อไปจะให้ใครเป็นเพื่อนดูแล?
เธอตอบว่า อนาคตค่อยว่ากัน!
เมื่อถามว่า ทุกวันนี้ ใครดูแลพ่อ-แม่ที่สูงอายุ?
เธอตอบว่า โชคดีที่มีพี่สาวดูแล เธอเลยมาซื้อคอนโดเล็กๆ อยู่คนเดียว
ถามเธอต่อว่า มีแฟนไหม?
เธอตอบว่า มี แต่นานๆ เจอกัน ถ้าอยากเจอก็เจอ ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจอ
จบประเด็น “สาวมั่น” เธอยืนยันหนักแน่นไม่อยากมีลูก
รัฐบาลไทย สังคมไทย ต้องไม่ปล่อยปละละเลย
1. ต้องลดภาระและลดค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวที่มีความพร้อมให้ได้มีลูก โดย
1.1 ปรับทัศนคติให้การเลี้ยงลูกเป็นงานสำคัญสำหรับทั้งผู้เป็นแม่และผู้เป็นพ่อ
1.2 ให้ผู้ชายที่เป็นพ่อสามารถลาหยุดงานเพื่อช่วยเลี้ยงลูกได้มากขึ้น
1.3 ให้สถานที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดสถานที่ดูแลเด็กเล็ก อำนวยให้พ่อแม่สามารถทำงานและดูแลลูกได้
2. ให้สิทธิแก่หญิงตั้งครรภ์และครอบครัวที่มีลูกเข้าถึงสวัสดิการ บริการของรัฐ และเอกชนก่อนคนทั่วไป เช่น ให้โอกาสเรื่องที่อยู่อาศัย การเข้าเรียน การเดินทาง การรักษาพยาบาล เป็นต้น
3. รัฐให้เงินก้นถุง เพื่อการออมแก่เด็กเกิดใหม่ทุกคน คนละ 100,000 บาท โดยเปิดบัญชีในชื่อของลูกที่กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แล้วให้พ่อ-แม่สามารถจ่ายเงินออมในนามของลูก ร่วมกับเงินสมทบของรัฐ เงินออมดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ใช้เป็นทุนการศึกษา หรือเป็นบำเหน็จบำนาญชีวิตในยามชราของลูก สอดคล้องกับแนวนโยบาย “เกิดปั๊บรับสิทธิ์เงินแสน”
4. กระตุ้นให้หน่วยงานภาคเอกชนตระหนักถึงปัญหา “ฉันไม่อยากมีลูก” ไปพร้อมๆ กับสังคม เพื่อร่วมกันคิดแนวทางแก้ไขในแต่ละหน่วยงานที่อาจจะมีลักษณะแตกต่างกันไป
5. กระตุ้นและรณรงค์ให้หนุ่มสาวยุคใหม่ได้เข้าใจและเห็นความจริงว่า การมีลูกเป็นความสุข ความผูกพัน ทั้งกายและใจ ที่ไม่อาจแสวงหาได้นอกจากประสบการณ์จริงว่า “ความชื่นใจ” ที่ได้เห็นหน้าลูกและอยู่กับลูกมีคุณค่าอย่างไร? “ฟิน” ขนาดไหน?
กระตุ้นให้เห็นความจริงว่า ลูก คือ ผู้ที่จะร้อยรัดความรักในครอบครัว ให้เป็นหน่วยของความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
6. รณรงค์ให้สังคมเห็นปัญหาของประเทศไทยในอนาคต เปลี่ยนแนวคิดเรื่อง “วางแผนครอบครัว” เสียใหม่ว่าไม่ใช่เรื่องคุมกำเนิดอีกต่อไป แต่ต้องวางแผนให้ครอบครัวที่พร้อมมีลูก เพื่อสืบสกุล สืบทายาท สืบภารกิจของประเทศชาติและสังคม
“วันแม่” จึงมีความหมายกว้างขวางขึ้น เพราะแม่คือผู้ตัดสินใจสร้างอนาคตของสังคมไทย ทำอย่างไรให้หญิงไทยที่พร้อมเป็นแม่ที่มีลูก ทำอย่างไรที่สังคมจะให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่กำลังท้องและจะเป็นแม่ที่ดี
ทั้งหมดนี้ สังคมก็ต้องตระหนัก และยอมรับสิทธิในการตัดสินใจของหญิง-ชาย ที่แสวงหาช่องทางที่ดีของตนและยอมรับคนที่บอกว่า “ฉันไม่ต้องการมีลูก” ด้วยเช่นกัน
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี