“วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี” นอกจากจะเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) แล้ว ยังเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” อีกด้วยโดยเริ่มมีการจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2523เพื่อยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในครอบครัว หน่วยย่อยที่เล็กที่สุดแต่เป็นกำลังในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563 มีการเสวนาหัวข้อ “เมื่อพ่อต่อสู้กับโรค-ภัย เพื่อชีวิตใหม่ของครอบครัว” เชิญพ่อที่เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อลูก และลูกที่ต้องดูแลพ่อที่ล้มป่วย ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอย่าง “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์-ยาสูบ” มาบอกเล่าเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์
ธนเดช ใจสบาย หนุ่มใต้ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ กระทั่งวันหนึ่งรู้ว่าพ่อป่วยเป็นมะเร็งระยะ 4หรือระยะสุดท้าย เล่าว่า เห็นพ่อดื่มเหล้า-สูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไร เช่น วัฒนธรรมของชาวใต้ ตอนเช้าๆ ผู้คนจะไปจับกลุ่มกันตามร้านน้ำชา ซึ่งในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ดื่มน้ำชาพ่อกลับดื่มเบียร์ ส่วนการสูบบุหรี่นั้นจะสูบทั้งใบจากและบุหรี่มวน
กระทั่งในปี 2561 มีโอกาสได้เดินทางกลับบ้านเกิด ที่ จ.นครศรีธรรมราช พบพ่อที่เริ่มมีการกลืนอาหารได้ลำบาก เมื่อพาไปตรวจที่โรงพยาบาลก็พบก้อนเนื้ออยู่ในลำคอ ในเวลานั้นก็เริ่มพอจะเดาได้แล้วว่าพ่อเป็นมะเร็งแน่ๆ แต่ยังไม่รู้ว่าระยะใด และต่อมาก็ทำเรื่องส่งตัวพ่อมารักษาที่ รพ.รามาธิบดี ในกรุงเทพฯ ซึ่งแม้จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง สปสช.) ประกอบกับได้เข้าร่วมโครงการวิจัย แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ครอบครัวต้องนำเงินเก็บออมออกมาใช้
“หมอถามพ่อว่าสูบบุหรี่ไหม แกก็บอกว่าสูบ หมอถามว่าสูบตั้งแต่อายุเท่าไร แกก็บอกตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ผมฟังแล้วก็ตกใจ สะกิดถามพ่อว่า 6 ขวบเลยหรือทีนี้ผมก็กลับมาถามที่บ้านว่าพ่อสูบตั้งแต่ 6 ขวบจริงหรือ แกก็อธิบายว่าใช่ คือสูบในลักษณะที่ผู้ใหญ่สูบแล้วทิ้งก้นบุหรี่แกก็จะไปเก็บมาสูบ ไม่ต้องจุดสูบต่อได้เลย ผมก็ถามว่าแล้วย่ากับปู่ไม่เคยว่าไม่เคยตีหรือแกก็บอกว่าเคย ก็เอาบุหรี่ที่แกไปจับมาดูดนั่นละจิ้มตัวแก เพื่อให้จำว่าอย่าทำ เมื่อตอนที่แกยังเด็กๆ แต่แกก็คงไม่จำหรอก แกก็สูบต่อมา” ธนเดช กล่าว
หนุ่มใต้รายนี้ เล่าต่อไปว่า เมื่อพ่อรู้ว่าเป็นมะเร็งก็ไม่แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบอีกเลย ซึ่งน่าทึ่งมากที่คนดื่ม-สูบมาทั้งชีวิตจะเลิกได้แบบหักดิบส่วนการรักษานั้น เมื่อเวลาผ่านไปราว 1 ปีครึ่ง ปัจจุบันไม่ต้องให้อาหารทางช่องท้องผ่านสายยางแล้ว แต่ยังมีสายยางเจาะที่ลำคออยู่ และตรวจไม่พบเซลล์มะเร็งในร่างกาย แต่ยอมรับว่าพ่อของตนอาจโชคดีและไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีแบบนี้ ดังนั้นหากไม่ยุ่งกับปัจจัยเสี่ยงได้จะดีกว่า
ขณะที่ คุณากร กนิษฐายน หนุ่มใหญ่ผู้มีอาชีพรับเหมาตอกเสาเข็ม จนลูกชายเกิดอุบัติเหตุต้องพิการท่อนล่างและตนเองก็ล้มป่วย เล่าว่า เมื่อครั้งที่ตนยังสุขภาพดี มีรายได้เฉลี่ยวันละ 1,500 บาท และครึ่งหนึ่งนำไปลงกับเหล้าและบุหรี่ กระทั่งในช่วงสงกรานต์เมื่อหลายปีก่อน ลูกชายที่ขณะนั้นอายุ 19 ปี ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปล้มในระยะทางห่างจากบ้านเพียง1-2 กิโลเมตรเพื่อนนั้นบาดเจ็บเพียงแขน-ขาหัก แต่ลูกชายหลังกระแทกขอบทางเท้า แพทย์ลงความเห็นว่าเส้นประสาทไม่สามารถต่อได้ ต้องกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็นไปชั่วชีวิต
ซ้ำร้ายในเวลาต่อมา เมื่อตนเองไปตรวจสุขภาพก็พบว่ากระเพาะทะลุ แพทย์ชี้สาเหตุว่าเกิดจากการดื่มจัด จึงตัดสินใจหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ยังสูบบุหรี่อยู่ แต่ต่อมาก็พบว่าจู่ๆ ร่างกายซีกซ้ายติดขัดขยับเขยื้อนไม่สะดวก เมื่อไปตรวจแพทย์ระบุว่าร่างกายซีกซ้ายอาจกลายเป็นอัมพาต และสาเหตุมาจากการสูบจัด จึงตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ และนำอุปกรณ์ที่ลูกชายทำกายภาพมาทำกายภาพให้กับร่างกายตนเองบ้าง
“ทุกวันนี้ก็พอเดินได้แต่ก็ไม่ปกติเหมือนเดิมแล้ว ผมสูบบุหรี่ตั้งแต่โตมา วันหนึ่งบางที 2 ซอง ส่วนเหล้าผมก็ดื่มพักหนึ่งจนหลังๆ ไม่ไหว ก็กินเหล้าสีผมไม่ใช่คนบ้านนอกก็เลยกินเหล้าขาวไม่เป็น พอผมรู้สึกตัวว่าหนักก็ค่อยๆ ทยอยเบาๆ เหล้า มีกลุ่มเพื่อนตอนหนุ่มๆ ชอบเที่ยว บางทีถ้ารวมกับเพื่อนได้ก็ 3 วัน3 คืน ลงทุนมาเยอะแต่ไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรเลย” คุณากรระบุ
ด้าน ทวี เกษตรวนา หนุ่มใหญ่อีกรายที่มีอาชีพรับเหมาซ่อมแซมและต่อเติมอาคาร ซึ่งเคยเสียผู้เสียคนและเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากพฤติกรรมการดื่มจัดของตนเอง เล่าว่า ตอนแรกๆ ที่ย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ยังไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กระทั่งเมื่อเริ่มทำงานรับเหมาก่อสร้างก็ต้องดื่มทั้งกับลูกทีม เพื่อนฝูงที่ติดต่อหางานให้ หรือแม้แต่คนว่าจ้างงาน
เมื่อยังหนุ่มสังขารยังไหว หนุ่มใหญ่รายนี้ยอมรับว่ากินเหล้ามากกว่ากินข้าว เลิกงานเย็นค่ำเมาตอนเช้าแต่งตัวไปทำงาน กระทั่งสัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏเมื่อนิ้วเริ่มล็อก ขี่มอเตอร์ไซค์ไกลๆ ไม่ไหว หรือแม้แต่จะไปซื้อของ ตอนหยิบเงินจ่ายเห็นว่ามือตนเองสั่นนอกจากนี้ เมื่อกลับไปถึงบ้านลูกชาย-ลูกสาว ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้ว่าเมาทีไรอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงเป็นประจำ
“ลูกชายจะพูดประจำว่า..พ่อไม่โชคดีตลอดไปนะครั้งที่ 1 มี ครั้งที่ 2 มี ครั้งที่ 3 พ่อจะไม่มีอีกแล้วนะถ้าพ่อกินเหล้าแล้วขับรถ..เคยเจออุบัติเหตุสลบเลย ขับมอเตอร์ไซค์ ไปกินเสร็จก็ขับกลับบ้าน กินจากแถวบางกอกน้อยแล้วจะกลับบ้านที่จรัญ(ถ.จรัญสนิทวงศ์) ชนท้ายตรงหน้าไฟฟ้าคลองมอญ พอดีรถร่วม (มูลนิธิร่วมกตัญญู) จะหามขึ้นรถ ผมฟื้นก่อนเขาก็เลยไปตามญาติมา คิดว่าหนักอยู่ ลูกก็บอกว่า..พ่อไม่มีโชคดีต่อไปแล้วนะ ถ้าขืนพ่อทำตัวอย่างนี้..ถ้ากินไม่เลิกรา” ทวี กล่าว
พฤติกรรมดื่มจัดยังส่งผลต่อการทำงานด้วย ทวียอมรับว่า บางครั้งเคยทำงานเสร็จล่าช้าจากที่ตกลงกับผู้ว่าจ้างไว้ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือไว้วางใจที่ใครจะมาจ้างงานลดลง กระทั่งเมื่อถูกหลานย้อนถามว่าทำไมมีเงินซื้อเหล้าซื้อเบียร์แต่ไม่มีเงินซื้อของเล่นให้จึงเริ่มคิดได้ตัดสินใจค่อยๆ ลดและเลิกดื่มได้ในที่สุด หากนับจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 10 ปีแล้วที่ไม่แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“ลูกๆ เขาก็สบายใจ ตอนนี้เขาไม่ห่วงแล้วเวลาขับรถไปทำงานเพราะพ่อไม่กินเหล้า” ทวี กล่าวในท้ายที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี