สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำเรื่องราวจากงานเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “วัคซีนโควิด-19” จัดโดยโครงการพลังเครือข่ายนักสื่อเสียงเพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยกำลังเริ่มโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เป็นวงกว้างแล้ว แต่พบว่ายอดการลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนยังน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ วิทยากรในการเสวนาครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า วัคซีนเป็นเครื่องมือทำให้ร่างกายคนเราคุ้นเคยกับเชื้อโรคโดยไม่ต้องติดเชื้อจริงๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมารับมือ เช่น ป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์แล้วสุดท้ายไวรัสก็จะตายไปเอง โดยการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิมคือการเพาะเลี้ยงเชื้อที่ต้องการแล้วทำให้เชื้อนั้นตาย เรียกว่าวัคซีนเชื้อตาย ที่ผ่านมาใช้ผลิตทั้งวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่โปลิโอ ข้อดีของวัคซีนประเภทเชื้อตายคือปลอดภัยสูงเพราะใช้มานาน สำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยวิธีนี้คือซิโนแวค
ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิม คือการสังเคราะห์โปรตีนจากหนามของไวรัสแล้วฉีดเข้าสู่ร่างกาย ปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือโนวาแวกซ์ ปัจจุบันเพิ่งผ่านการทดลองระยะ 3 และอยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียน ขณะที่วิธีใหม่ที่ใช้ในการผลิตวัคซีน คือการใส่สารพันธุกรรมเข้าไปในร่างกาย แล้วให้ร่างกายผลิตโปรตีนหนามของไวรัสเป้าหมายขึ้นมาเพื่อนำไปใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกทอดหนึ่ง
วิธีนี้มี 2 แบบ คือ mRNA ปัจจุบันใช้กับวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์กับโมเดอร์นา ใช้วิธีฉีดสารพันธุกรรมเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ซึ่งวิธีนี้ถูกนำมาใช้กับวัคซีนโควิด-19 เป็นครั้งแรก และ Viral Vector ใช้กับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และแอสตราเซเนกา ใช้วิธีนำสารพันธุกรรมฝากไว้กับไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ก่อโรค แล้วให้ไวรัสดังกล่าวพาสารพันธุกรรมที่ผลิตโปรตีนหนามซึ่งก่อโรคที่ผู้พัฒนาวัคซีนต้องการให้มีภูมิคุ้มกันเข้าไปในร่างกาย โดยไวรัสไม่ก่อโรคที่นำพาสารพันธุกรรมเข้าไปก็จะถูกภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลาย วิธีนี้เคยใช้มาบ้างในการผลิตวัคซีนอีโบลา
การทดลองวัคซีนนั้นเริ่มจากการทดลองในสัตว์ หากได้ผลดีและไม่เป็นอันตรายจึงขยายผลมาทดลองในมนุษย์ แบ่งเป็นระยะที่ 1 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 50-100 คน ระยะที่ 2 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 200-1,000 คน และระยะที่ 3ใช้กลุ่มตัวอย่างหลักหมื่นคนขึ้นไป เช่น วัคซีนไฟเซอร์ใช้กลุ่มตัวอย่าง 20,000 คน แอสตราเซเนกา 40,000 คน เป็นต้น โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างทั้งที่ได้และไม่ได้รับวัคซีน เปรียบเทียบการใช้ชีวิตตามปกติว่ากลุ่มใดติดเชื้อหรือมีอาการป่วยมากกว่ากัน หากกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับวัคซีนมีจำนวนผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รีบวัคซีน เท่ากับวัคซีนใช้ได้ผลจริง
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ อธิบายต่อไปในเชิงเปรียบเทียบ “วัคซีนก็เหมือนอุปกรณ์นิรภัยในรถยนต์ คือมีประสิทธิภาพในการลดความเสียหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ผู้ขับขี่ก็ต้องลดพฤติกรรมเสี่ยงด้วย” รถคันหนึ่งมีทั้งเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย ระบบเบรกและโครงสร้างตัวถังเกรดดีเยี่ยม แต่ผู้ขับขี่มีนิสัยชอบขับรถเร็วก็มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมาก วัคซีนก็เช่นเดียวกัน หากฉีดไปแล้วแต่ยังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ทั้งด้วยการพาตัวเข้าไปเสี่ยงเองอย่างการไปสถานที่แออัด หรือการทำงานที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงไม่ได้อย่างบุคลากรทางการแพทย์ โอกาสติดเชื้อก็ยังมีสูง
“เขาเจอผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตลอดเวลา เจอทุกวันเจอในปริมาณมาก เจอในสถานที่ที่จำกัด ไอซียูบ้างหอผู้ป่วยบ้าง ดังนั้นการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ที่ประเทศบราซิล ที่ทำในบุคลากรทางการแพทย์แล้วมีสถานการณ์การระบาดรุนแรง อย่างเช่นตัวอย่างวัคซีนซิโนแวค ก็เลยแสดงประสิทธิผลจากการทดลองออกมาที่ประมาณ 50% ที่เอาไปแชร์ต่อๆ กันว่าวัคซีนซิโนแวคมีผลแค่ 50% เพราะหยิบเอาตัวเลขนี้ไปพูด แต่วัคซีนซิโนแวคตัวเดียวกัน พอไปทำการทดลองที่ประเทศตุรกี มีประสิทธิผล 80% กว่า
ถ้าเรายึดตัวเลขเป็นสรณะจริงๆ แสดงว่าซิโนแวคบราซิลกับซิโนแวคตุรกีมันมีคุณภาพต่างกันอย่างนั้นหรือ นั่นก็ไม่ถูกต้อง วัคซีนตัวเดียวกันถ้าทดลองในสถานที่ต่างกัน มันก็ให้ผลออกมาต่างกันแม้กระทั่งเป็นวัคซีนตัวเดียวกัน ฉะนั้นการที่จะไปหยิบเอาประสิทธิผลวัคซีนตัวโน้นตัวนี้มาเปรียบเทียบกัน เราหยิบเอามาแต่ค่าเดียว แล้วเราไม่ได้ดูถึงรายละเอียดภายในของมัน เราก็จะงงงวยกับตัวเลข แล้วเราก็จะนึกว่าตัวโน้นดีกว่าตัวนั้น ตัวนั้นดีกว่าตัวนี้ แล้วก็เปรียบเทียบกันไปต่างๆ นานา” นพ.นคร กล่าว
นพ.นคร ยังกล่าวถึงมาตรฐานกลางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า วัคซีนใดมีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ 50 ถือว่าผ่านเกณฑ์ นอกจากนี้ยังต้องมีข้อมูลความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ว่าฉีดไปแล้วไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ที่ไทยรับรองให้ใช้ ทั้งนี้ วัคซีนโควิด-19 มีระยะเวลาพัฒนาเพียง 8 เดือน ถือว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ที่เคยมีมา ที่กว่าจะออกมาให้ใช้ได้ต้องทำการศึกษากันไม่ต่ำกว่า 5 ปี
แต่ถึงจะเร็วก็ไม่ได้ลัดขั้นตอนตามมาตรฐาน เพียงแต่เร่งกระบวนการให้ไวขึ้น ลดช่องว่างรอยต่อระหว่างขั้นตอน เช่น เมื่อเริ่มทดลองในสัตว์ก็เตรียมแผนทดลองในมนุษย์ไว้ เมื่อเริ่มทดลองในมนุษย์แล้วเห็นว่าได้ผลดีแม้จะเพียงเล็กน้อยก็เตรียมการทดลองในระยะ 3 เพื่อผลิตออกมาใช้ สำหรับประเทศไทย ในเบื้องต้นด้วยสถานการณ์โลกยังขาดแคลนวัคซีน หลายประเทศยังไม่มีวัคซีนใช้ แต่หลายประเทศก็มีเหลือใช้ จากความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง
ทำให้ประเทศไทยเวลานี้มีให้ใช้เพียง 2 ยี่ห้อ คือซิโนแวคกับแอสตราเซเนกา การมีวัคซีนโควิด-19 ในไทยจึงถือว่ากลางๆ ยังไม่เต็มที่นัก ซึ่งตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564 เป็นต้นไปก็จะมีวัคซีนให้ใช้เพิ่มขึ้น ตามสถานการณ์ความเป็นไปได้ในการผลิตวัคซีนทั่วโลก การเข้าถึงวัคซีนก็จะครอบคลุมมากขึ้น อนึ่ง หากไม่มีประวัติโรคประจำตัวก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจแล้วค่อยฉีดวัคซีน โดยขณะนี้มีข้อห้ามคือต้องเป็นผู้มีประวัติแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงมาก่อน
“ผู้เคยมีประวัติแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงมาก่อน ต้องอย่างรุนแรงด้วยนะ เช่น เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หรือว่าโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักแล้วมีอาการแพ้รุนแรง อย่างนี้อาจจะเป็นข้อห้ามว่าอย่าเพิ่งใช้ ณ เวลานี้ หรือถ้าจะใช้จริงๆก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของคุณหมอ เพื่อระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง” นพ.นคร ระบุ
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยังกล่าวถึงกลุ่มอื่นๆ ที่ควรระมัดระวังในการรับวัคซีน เช่น คนที่มีอาการภูมิแพ้รุนแรง อาทิ เป็นโรค SLE และที่ควรรอไปก่อนคือผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้วอยู่ระหว่างรักษาด้วยการรับยาคีโมหรือการฉายรังสี โดยให้เว้นระยะจนกว่าจะพ้นระยะจากผลข้างเคียงของวิธีการรักษามะเร็งข้างต้นก่อนแล้วค่อยฉีดวัคซีน ซึ่งผู้ให้คำตอบได้ในแต่ละบุคคลคือแพทย์!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี