จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั่วโลกในขณะนี้ มีจำนวนมากกว่า 240 ล้านคน หรือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 5 ล้านคน ถือเป็นมหันตภัยที่เกิดจากโรคไวรัสร้ายซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับประชากรโลกเท่านั้น แต่ได้เกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจของโลกใบนี้ ซึ่งแน่นอนรวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับประเทศไทยของเรานั้น ขณะนี้มีผู้ป่วยรวมแล้วทั้งสิ้นเกือบ 1.8 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 1.8 หมื่นคน หรือประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ จำนวนผู้ป่วยใหม่แต่ละวันในช่วงระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีผู้ป่วยเฉลี่ย วันละประมาณ 1 หมื่นรายเศษ และยังเกิดผลกระทบที่เกิดจากความจำเป็นที่ต้องมีการใช้มาตรการควบคุมในการดำเนินชีวิตในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้กระทบต่อภาคธุรกิจทั้งระดับใหญ่และระดับครัวเรือนเป็นอย่างมาก จนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีผู้ว่างงานเกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้รัฐบาลต้องมีโครงการช่วยเหลือประชากรกลุ่มต่างๆ โดยมีรูปแบบการช่วยเหลือที่หลากหลาย เช่นโครงการคนละครึ่ง การสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม และอื่นๆ ล่าสุดคือคนขับแท็กซี่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
หนทางหนึ่งที่จะป้องกันไม่ให้ประชากรเจ็บป่วย หรือหากป่วยก็มีอาการไม่รุนแรงหรือเสียชีวิต ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนโดยเฉพาะครอบครัวของผู้เสียชีวิต จนเกิดคำถามว่ารัฐบาลได้มีการบริหารจัดการเรื่องนี้เพื่อการดูแลประชาชนได้ดีที่สุดแล้วหรือยัง นั่นคือการจัดให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งตามทฤษฎีของระบาดวิทยากล่าวไว้ว่าจะต้องให้ประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดภูมิต้านทานของแต่ละบุคคลแล้ว ยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ด้วย โดยต้องจัดให้ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนนั้นเป็นไปตามระดับของความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคร้ายนี้ ซึ่งได้แก่ กลุ่มบุคลากรการแพทย์และด่านหน้าทั้งหลาย ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และกลุ่มที่เป็นโรคเรื้อรังที่เรียกกันว่ากลุ่ม 608 ก่อน
ต้องยอมรับความจริงว่า การประเมินสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยในระยะแรกนั้น น่าจะมีความไม่สมบูรณ์ครบถ้วนในเชิงข้อมูล ทำให้การวางแผนการจัดหาวัคซีนเพื่อมาฉีดให้กับประชากรนั้นล่าช้าไปกว่าที่ควรจะเป็น รวมทั้งจำนวนวัคซีนที่ตั้งเป้าจัดหาเข้ามาในระยะแรกก็มีจำนวนค่อนข้างน้อย ซึ่งทำให้เมื่อมีการระบาดในระลอก 3 เกิดขึ้น จึงมีจำนวนวัคซีนไม่พอเพียงต่อการที่จะระดมฉีดให้กับประชากร รวมทั้งมีความเคลือบแคลงใจของแพทย์และประชากรบางกลุ่มว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาเข้ามาในระยะแรกนั้นมีคุณภาพดีเพียงพอต่อการป้องกันการเจ็บป่วย การเสียชีวิตจริงหรือไม่ จนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองอยู่ระยะหนึ่ง
ประเด็นเรื่องจำนวนวัคซีนที่จัดหาเข้ามาไม่เพียงพอดังกล่าวนั้นได้รับการแก้ปัญหาและคลี่คลายไปแล้วเป็นอย่างดี
โดยหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นวันเริ่มต้นวาระวัคซีนแห่งชาติ โดยตั้งเป้าให้มีการจัดหาวัคซีนอย่างพอเพียงเพื่อระดมฉีดให้กับประชากรให้ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ เพื่อจะเปิดประเทศในระยะเวลา 120 วัน โดยเริ่มที่กลุ่มเสี่ยงก่อน ถึงแม้ว่าในระยะต้นของโครงการจะมีปัญหาเรื่องวัคซีนที่จัดซื้อไว้ไม่มาตามกําหนด แต่ในที่สุดก็คลี่คลายไปได้ รวมทั้งมีแรงเสริมจากวัคซีนทางเลือกและวัคซีนที่ได้รับการบริจาคทั้งจากประเทศจีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ตลอดจนการจัดซื้อเพิ่มเติมที่มีความชัดเจน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าภายในสิ้นเดือนธันวาคมปีนี้ ประชากรจำนวนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ จะได้รับวัคซีนครบ 2 โดส และยังมีการดำเนินการในการจัดหาวัคซีนสำหรับปีหน้าเพื่อจะฉีดให้กับประชากรอีกไว้แล้วอย่างน้อย 120 ล้านโดส
ส่วนความวิตกกังวลในเรื่องชนิดของวัคซีนที่ใช้ฉีดนั้นจากการทดลองฉีดวัคซีนไขว้ชนิดในหลายสถาบันในประเทศทำให้มีข้อมูลเพียงพอว่าการใช้วัคซีนไขว้นั้นช่วยกระตุ้นให้การสร้างภูมิต้านทานเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี การฉีดเข็มแรก
ด้วยวัคซีนเชื้อตายซิโนแวค แล้วหลังจากนั้นอีก 4 สัปดาห์ฉีดเข็มที่ 2 โดยใช้วัคซีนไวรัลเวกเตอร์แอสตราเซเนกา
จะสร้างภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดี และพอเพียงต่อการต่อสู้กับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งเป็นเชื้อที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ในปัจจุบันนี้ และยังพบว่าหลังการฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ2 เข็ม ประมาณ 2-3 เดือน ภูมิต้านทานที่ถูกสร้างขึ้นจะเริ่มลดลงมาก แต่เมื่อฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาก็ทำให้ภูมิต้านทานถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติมได้มากเพียงพอใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่าในการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สูตรการฉีดวัคซีนแบบนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับกรณีที่วัคซีน 2 เข็มแรกเป็นซิโนแวคนั้น จากการวิจัยของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลก็พบว่า การใช้วัคซีนไขว้ชนิดฉีดเป็นเข็มกระตุ้นสามารถสร้างภูมิต้านทานได้สูงมากเพียงพอทั้งการฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาหรือการฉีดวัคซีนชนิดเอ็นอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ก็ตาม โดยการฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์จะให้ภูมิต้านทานที่สูงกว่า เชื่อว่าอีกไม่นานนักสูตรวัคซีนที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 น่าจะมีสูตรที่เป็นมาตรฐานและใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอย่างแน่นอน รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็จะเกิดติดตามมา
การเพิ่มจำนวนเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทยเรานั้น ขณะนี้ได้มีการฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 ถึง 17 ปีแล้วโดยใช้วัคซีนไฟเซอร์เป็นหลัก ทั้งนี้โดยให้เป็นไปตามความสมัครใจและยินยอมของพ่อแม่และผู้ปกครองของเยาวชนเหล่านั้น โดยมีการชี้แจงให้ทราบแล้วว่าอาจจะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเกิดขึ้นได้ โดยพบในเด็กผู้ชายอายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปี และเกิดมากกว่าเด็กผู้หญิง ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่ามักจะเกิดขึ้นหลังจากการฉีดเข็มที่ 2 ในระยะเวลาตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป แต่อาการดังกล่าว หลังได้รับการวินิจฉัยสามารถจะรักษาให้หายได้โดยเร็ว จึงมีข้อแนะนำว่าในเด็กผู้ชายอายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปีนั้น ควรจะฉีดวัคซีนชนิดนี้เพียงแค่เข็มเดียว จนกว่าจะมีข้อมูลทางวิชาการในอนาคตที่เพียงพอต่อการพิจารณาเป็นอย่างอื่น โดยเป้าจำนวนประชากรที่เป็นเยาวชนนี้อยู่ที่ประมาณ 4 ล้านคนจากจำนวนทั้งหมดประมาณ 4.5 ล้านคน
ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก และสำนักอนามัยของกรุงเทพมหานคร คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน ทำให้จำนวนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในแต่ละวันเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลขเฉลี่ยในแต่ละวันของแต่ละรอบสัปดาห์อยู่ที่ประมาณ 7 แสนราย และมีบางวันที่ขึ้นไปถึงระดับหนึ่งล้านราย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าหากวัคซีนที่ทุกภาคส่วนจัดหามาได้นั้นมีจำนวนมากเพียงพอ และด้วยอัตราการฉีดตามที่เป็นอยู่นี้ เป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ประชาชนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสภายในสิ้นปีนี้ เป็นสิ่งที่จะบรรลุได้อย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนแต่ละคนมีภูมิต้านทานเพียงพอแล้ว ยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศด้วย ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันเชื่อว่าจะป้องกันการติดเชื้อได้มากพอควร รวมทั้งทำให้ไม่เกิดการป่วยที่รุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งจะทำให้โรคนี้ไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป
จนถึงวันนี้มีประชาชนชาวไทยและต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศได้รับการฉีดรวมแล้วประมาณ 65 ล้านคน เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 มากกว่า 37 ล้านคน หรือคิดเป็น 52 เปอร์เซ็นต์ และเข็มที่ 2 แล้วเกือบ 26 ล้านคน หรือคิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ และยังมีผู้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งตามสูตรการฉีดที่ใช้อยู่ปัจจุบันผู้ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วจะได้รับการฉีดเข็มที่ 2 ในระยะเวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์ ฉะนั้น
จากข้อมูลเรื่องจำนวนการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นนี้ ประกอบกับจำนวนผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวันที่เริ่มลดลงมาที่ระดับ 10,000 คน และผู้เสียชีวิตในแต่ละวันต่ำกว่า 100 คน ทำให้รัฐบาลเกิดความเชื่อมั่นในการที่จะให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติของการดำเนินชีวิตแบบปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางด้านธุรกิจได้ อันจะเป็นผลดีกับทุกภาคส่วน จึงได้กำหนดให้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม เป็นต้นมา โดยในพื้นที่ที่มีการระบาด ซึ่งขณะนี้ยังมีพื้นที่ทั้งสีแดงเข้ม สีแดงและสีส้ม ตามจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ได้ปรับลดระยะเวลาเคอร์ฟิวลงเป็นเวลาตั้งแต่ 23.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันถัดไป รวมทั้งการอนุญาตให้มีการเปิดศูนย์การค้า ศูนย์อาหาร ร้านอาหาร ร้านค้า ศูนย์กีฬา สถานที่ประชุมและอื่นๆได้มากขึ้นโดยกิจกรรมต่างๆ นั้นต้องสิ้นสุดในระยะเวลาไม่เกิน 22.00 น. และการจัดงานต่างๆ ให้มีผู้เข้าร่วมได้ถึง 50 คน หากเกินกว่านั้นต้องได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษและจำนวนต้องไม่เกิน 500 คน
ในส่วนของการสร้างรายได้ให้ประเทศซึ่งรายได้หลักคือเรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้ที่ทำเงินมหาศาลให้กับประเทศนั้น ในเบื้องต้นได้มีการผ่อนคลายมาตรการในการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งนี้หากมีเอกสารยืนยันว่าได้รับการฉีดวัคซีนชนิดใดก็แล้วแต่ครบโดส ก็สามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยได้ โดยต้องมีผลการตรวจ RT-PCR ว่าไม่มีการติดเชื้อในระยะเวลา 3 วันก่อนเดินทางด้วย และไม่ต้องมีการกักตัวอีกต่อไป มีประเทศที่ได้รับการอนุญาตดังกล่าวแล้วประมาณ 20 ประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น จีน และประเทศแถบสแกนดิเนเวียส่วนใหญ่ โดยระยะแรกอาจจะยังเป็นลักษณะของ sandbox คือจำกัดพื้นที่ แต่เชื่อว่าก่อนถึงปลายปีนี้น่าจะเป็นการเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้อย่างอิสระเช่นเดิม แต่ทั้งนี้ยังคงมาตรการในเรื่องของการดำเนินชีวิต ตามแนวชีวิตวิถีใหม่เช่นเดิม คือการสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การล้างมือบ่อยๆ อาจจะรวมถึงการตรวจหาเชื้อชนิดรู้ผลเร็ว โดยใช้ชุดการตรวจที่เรียกว่า ATK ด้วย
รัฐบาลได้มีความตั้งใจที่จะให้ประชาชนทุกคน ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดและได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ถึงแม้จะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้างก็ได้มีการดำเนินการแก้ไขโดยรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและกระแสสังคม จึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของประชาชน ที่แสดงความกระตือรือร้นในการเข้ารับการฉีดวัคซีนในทุกพื้นที่ และหากทุกฝ่ายยังมีความร่วมมือและสมัครสมานสามัคคีเช่นนี้ ก็เชื่อได้ว่า จะเกิดประโยชน์โดยส่วนรวมแก่ประชาชนทุกคนและประเทศอันเป็นที่รักของพวกเราอย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี