โควิด-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการมีรายงานผู้ป่วยเคสแรกๆ ในมณฑลอู่ฮั่นของประเทศจีนเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2562 โดยเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มที่เรียกว่าโคโรนาไวรัส ซึ่งเคยก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงที่เรียกว่าโรคซาร์ส ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตมาก่อนแล้วเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเกิดโรคโควิด-19 นี้ไม่นาน ก็มีการระบาดไปทั่วโลกเรียกตามวิชาระบาดวิทยาว่าแพนเดมิก (pandemic) โดยไวรัสตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า SARS-CoV-2 และโรคนี้ถูกพบในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2563 ในผู้ป่วยหญิงชาวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย ก่อนที่จะมีการระบาดไปในทุกจังหวัดของประเทศไทยในที่สุด
จนถึงวันนี้ การระบาดของโรคนี้ทำให้ประชากรทั่วทั้งโลกประมาณ 270 ล้านคนต้องป่วยจากโรคนี้ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 5.3 ล้านคน และยังไม่มีทีท่าว่า การระบาดของโรคนี้จะยุติลงเมื่อใด ซึ่งส่วนใหญ่ของนักระบาดวิทยาเชื่อว่าโรคนี้คงจะอยู่กับโลกใบนี้ไปอีกเป็นระยะเวลานานแสนนาน เปลี่ยนจากการระบาดที่เรียกว่าแพนเดมิก มาเป็นการระบาดที่เป็นโรคประจำถิ่นคือเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกประเทศที่เรียกว่าเอ็นเดมิก (endemic) ซึ่งหมายความว่า คนทุกคนในประเทศจะมีโอกาสเป็นโรคนี้เมื่อใดก็ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ หรือหากเป็นก็มีอาการที่ไม่รุนแรง จนกระทั่งเสียชีวิตจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด และวิธีที่วงการแพทย์ใช้ต่อสู้กับโรคระบาดเหล่านี้คือการพัฒนาวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคและไม่ให้เกิดอาการรุนแรงดังกล่าว นอกเหนือจากอีกวิธีหนึ่งคือการป้องกันตัวเองโดยดำเนิน ชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ถูกแนะนำให้ใช้เป็นครั้งแรกในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ซึ่งได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย เกือบจะตลอดเวลา การรักษาระยะห่างกับผู้ที่มาอยู่ใกล้ชิด อย่างน้อย 1-2 เมตร การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้บ่อยๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก เป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้ทั่วโลก
หลังจากเกิดการระบาดขึ้นในประเทศไทย รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และใช้ชื่อย่อว่า ศบค. โดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้ โดยระดมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทุกภาคส่วน และผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้อง มาร่วมเป็นกรรมการชุดใหญ่ ในการกำหนดแนวทางและมาตรการต่างๆ ที่จะใช้ในการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคนี้ และยังมีคณะกรรมการชุดเล็กอีกหลายคณะด้วยกัน
ถึงแม้จะมีคณะกรรมการที่เข้มแข็งเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการระบาดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ โดยถึงปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยจากโรคนี้เกิดขึ้นแล้ว มากกว่า 2.1 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 2.1 หมื่นราย หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เจ็บป่วย แม้จะเป็นตัวเลขที่ดีกว่าในหลายประเทศ แต่ก็น่าจะต้องทำให้ลดลงมากกว่านี้อีก ซึ่งดูเหมือนว่าแนวโน้มในปัจจุบันในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมานี้จะดีขึ้นตามลำดับ โดยเมื่อดูจากจำนวนผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวัน จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4 พันราย และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 30 รายก็ตาม
รัฐบาลได้ดำเนินการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาใช้ในการป้องกันโรคให้กับประชาชนชาวไทย โดยวัคซีนตัวแรกที่ถูกนำเข้ามาใช้คือวัคซีนชนิดเชื้อตาย ที่มีชื่อว่าซิโนแวคจากประเทศจีน และต่อมาก็นำวัคซีนชนิดที่เรียกว่าไวรัลเวกเตอร์ ยี่ห้อแอสตราเซเนกา ซึ่งพัฒนาและผลิตโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษเข้ามาใช้ โดยเริ่มมีการฉีดครั้งแรกในวันที่ 7 เมษายน 2564 ซึ่งดูเหมือนจะล่าช้าไปพอสมควร และต่อมาก็มีการนำวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาฉีดด้วย นอกเหนือจากนี้ในส่วนขององค์กรอื่น ทั้งของภาครัฐและเอกชน ก็ได้จัดหาวัคซีนอื่นเข้ามาฉีดให้กับประชาชนเช่นกัน เช่น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อตายจากประเทศจีนเข้ามาใช้ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชนร่วมกับองค์การเภสัชกรรม จัดหาวัคซีนโมเดอร์นา ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเช่นเดียวกันเข้ามาใช้เป็นวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน โดยได้เริ่มฉีดไปแล้วตั้งแต่ประมาณวันที่ 8 พฤศจิกายน เป็นต้นมา
ประเทศไทย เป็นประเทศแรกๆ ที่ได้มีการพบว่าเมื่อนำวัคซีนต่างชนิดมาฉีดให้กับประชากรแล้วปรากฏว่า ให้ผลในการสร้างภูมิต้านทานได้ดีและเรียกวิธีการฉีดชนิดนี้ว่าการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ปัจจุบันนี้จึงมีการใช้สูตรนี้อย่างกว้างขวาง ถือเป็นแนวทางหลักของการฉีดวัคซีนภาครัฐก็ว่าได้ เช่นการฉีดเข็มแรกด้วยวัคซีนซิโนแวคและเข็มที่ 2 ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา แต่สูตรนี้ในปัจจุบันมีการใช้น้อยลง สูตรที่ใช้กันเป็นแนวทางหลักคือ การฉีดเข็มที่ 1 ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา และเข็มที่ 2 ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งวัคซีนของแอสตราเซเนกามีโรงงานผลิตในประเทศไทยคือ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้เงินทุนส่วนพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อยู่ด้วย เป็นวัคซีนที่ถูกนำมาใช้แล้วมากที่สุด ส่วนอีกสูตรหนึ่งซึ่งเริ่มใช้มากขึ้นฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม
มาดูจำนวนประชากรไทยที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วจนถึงวันนี้ ก็มีข้อมูลว่ามีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 98 ล้านโดส เป็นการฉีด เข็มที่ 1 ประมาณ 50 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 43 ล้านโดส และเข็มที่ 3 มากกว่า 4 ล้านโดสเล็กน้อยซึ่งเป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ว่า ภายในสิ้นปี 2564 จะต้องมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส
หรือมากกว่า 70% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดภูมิต้านทานในประชากรส่วนใหญ่ และเกิดภาวะภูมิต้านทานหมู่ขึ้นภายในประเทศได้ อันจะทำให้การระบาดของโรคลดน้อยลงและไม่มีความรุนแรงของอาการเมื่อมีการติดเชื้ออีกต่อไป
เนื่องจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น มีข้อมูลยืนยันแน่นอนแล้วว่าภายหลังการฉีดวัคซีนชนิดใดก็ตามไปถึงระยะเวลาหนึ่ง อาจจะตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ปริมาณภูมิต้านทานที่มีอยู่ในร่างกายจะเริ่มลดต่ำลงไปเรื่อยๆ และอาจจะทำให้ไม่สามารถป้องกันอาการรุนแรงหรือการเสียชีวิตได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องมีการฉีดวัคซีน เข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นให้กับผู้ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสมาตรฐานเพิ่มเติม ซึ่งในการฉีดเข็มกระตุ้นนั้นแต่เดิมเคยเชื่อกันว่าเมื่อเคยได้รับวัคซีนชนิดใดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ควรจะเป็นวัคซีนชนิดนั้นเช่นกัน แต่ปัจจุบันมีข้อมูลใหม่ว่า สำหรับโรคโควิด-19 นั้น การฉีดวัคซีนต่างชนิดเป็นเข็มกระตุ้นหรือที่เรียกว่า สูตรไขว้ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ให้ภูมิต้านทานได้ดีมาก
เช่นเดียวกัน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีการกำหนดแนวทาง รายการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยการใช้วัคซีนชนิดต่างๆ ไว้ดังนี้
หากเคยได้รับซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม + ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม เมื่อครบ 1 เดือน ให้กระตุ้นด้วยแอสตราเซเนกาหรือไฟเซอร์
หากเคยได้รับซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม + แอสตราเซเนกา เมื่อครบ 3 เดือน ให้กระตุ้นด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา
หากเคยได้รับแอสตราเซเนกา 2 โดส เมื่อครบ 6 เดือน ให้กระตุ้นด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ยกเว้นผู้มีความเสี่ยงสูงและมีโรคประจำตัวที่อาจจะทำให้การสร้างภูมิต้านทานไม่ดี ให้ฉีดได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
หากเคยได้รับแอสตราเซเนกา + ไฟเซอร์ เมื่อครบ 6 เดือนขึ้นไป ให้กระตุ้นด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา
หากเคยได้รับไฟเซอร์ +ไฟเซอร์ เมื่อครบ 6 เดือน ให้กระตุ้นด้วยไฟเซอร์ เช่นเดียวกับวัคซีนโมเดอร์นาซึ่งจะเป็นแบบเดียวกัน
ที่กล่าวมานี้คือกรณีทั่วๆ ไป หากมีข้อสงสัยเมื่อจะเข้ารับการฉีด ให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เรื่องนี้หรือแพทย์ที่อยู่ประจำจุดฉีดวัคซีนด้วย
ส่วนเรื่องการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ที่มีชื่อว่าโอไมครอน ที่มีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา จนทำให้เกิดกระแสการตื่นตระหนกของเชื้อตัวนี้ไปทั่วโลกเมื่อช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา โดยพบว่าเป็นเชื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมที่ตำแหน่งโปรตีนหนามถึง 32 จุด และทำให้เชื้อตัวนี้ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลจนถึงปัจจุบันน่าจะทำให้เกิดความคลายกังวลไปได้บ้างแล้ว เนื่องจากเมื่อมีการสืบค้นจริงๆ แล้ว ยังไม่มีรายงานของผู้เสียชีวิตจากเชื้อตัวนี้เลย และผู้ที่ป่วยจากการติดเชื้อตัวนี้ก็มีอาการที่ไม่รุนแรง เช่นกรณีที่มีการพบผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นชาวอเมริกันที่เดินทางมาจากประเทศสเปน ก็เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเลย ส่วนที่พบเพิ่มเติมอีก 2 รายซึ่งเป็นคนไทยที่กลับมาจากประเทศไนจีเรีย ก็เป็นผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อย โดย 2 รายหลังนี้เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อน
ถึงแม้จะมีข้อมูลว่า วัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ทั้งหมดนั้น อาจจะไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้สูงต่อการป้องการติดเชื้อโอไมครอน แต่จากการที่พบว่าเชื้อนี้ไม่สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ก็เป็นเรื่องที่ดี และก็เชื่อว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดการสร้างภูมิต้านทาน ที่ดีกว่าเดิมได้กับไวรัสทุกตัว รวมทั้ง เชื้อสายพันธุ์โอไมครอนนี้ด้วย ในระยะเวลาใกล้ๆ นี้แน่นอน
ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า โรคโควิด-19 จะเป็นโรคประจำถิ่น ไปอีกเป็นระยะเวลายาวนาน การ ป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด คือการสร้างภูมิต้านทานให้เกิดขึ้นภายในร่างกายของเราโดยการฉีดวัคซีน ควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ หากทำได้ครบทั้งสองเรื่องนี้ ก็จะทำให้ตัวเองปลอดภัยอย่างแน่นอน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกท่านเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบทุกคน ในทุกกลุ่มที่ถูกกำหนดไว้ เพราะขณะนี้ประเทศไทยของเรามีวัคซีนอยู่มากเพียงพอ ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว และมีวัคซีนหลากหลายชนิดที่รัฐบาลจัดหามาให้ รวมทั้งวัคซีนทางเลือกของภาคเอกชนด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี