การระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่มีชื่อว่าโอมิครอน หรือโอมิครอนแล้วแต่จะเรียกนั้น
ทำให้เกิดความหวั่นวิตกต่อวงการสาธารณสุขทั่วโลกพอสมควร โดยขณะนี้การระบาดได้แพร่กระจายไปแล้วมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก หลังจากการเริ่มต้นพบผู้ป่วยแรกที่เกิดขึ้นในประเทศบอตสวานาทวีปแอฟริกา เมื่อระยะเวลาประมาณ 1 เดือนเศษที่ผ่านมานี้เอง
สำหรับตัวเลขจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนในแต่ละประเทศนั้น มีจำนวนเกินกว่า 1.5 แสนรายแล้ว ข้อมูลจากทุกประเทศจะมีความคล้ายคลึงกันว่า สัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของการติดเชื้อตัวนี้เมื่อเทียบกับเชื้อตัวเดิมซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลต้ามีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และคาดการณ์ว่าอาจจะมาแทนสายพันธุ์เดลต้าในที่สุด เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษเป็นต้น ส่วนในประเทศไทยนั้น จำนวนผู้ป่วยจากเชื้อนี้ที่ถูกรายงานไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคือ 205 ราย ซึ่งเคสที่เพิ่มใหม่จำนวนหลายสิบรายนั้น มาจากการแพร่กระจายในลักษณะของกลุ่มก้อนที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่เริ่มต้นจากผู้ป่วยชาวต่างประเทศ 2 รายซึ่งเป็นสามีภรรยากันที่เดินทางมาจากประเทศในทวีปยุโรป เข้าสู่ประเทศไทยโดยผ่านระบบ Test and Go ซึ่งเมื่อตรวจครั้งแรกด้วยวิธี RT-PCR เมื่อมาถึงประเทศไทยให้ผลปกติ แต่เมื่อครบ 5 วันไม่ได้มีการตรวจซ้ำตามข้อกำหนด และต่อมาผู้ป่วยเริ่มมีอาการจึงไปขอรับการตรวจใหม่ ผลปรากฏว่าติดเชื้อโอมิครอน
นอกจากนี้การที่ผู้ป่วยได้ไปร่วมรับประทานอาหารในร้านอาหารกับผู้ที่รู้จักกันหลายคน ทำให้ผู้ที่ไปร่วมงานในวันนั้นรวมทั้งพนักงานเสิร์ฟติดเชื้อเกือบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ก็ได้ดำเนินการสอบสวนโรคและติดตามผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง จนได้ตัวผู้ที่อยู่ในข่ายสงสัยซึ่งเป็นผู่เสี่ยงได้ครบถ้วน
ถึงแม้ว่าเชื้อนี้จะทำให้เกิดการระบาดของโรคอย่างง่ายและรวดเร็ว แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อตัวนี้อาจจะไม่มีอาการเลยหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยผู้ที่ได้รับเชื้อนั้นหากมีอาการก็จะแสดงอาการคล้ายๆ กับเป็นหวัด คือมีอาการจาม น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวบ้าง อาจจะมีอาการปวดบั้นเอวท่อนล่าง และอาจจะมีอาการเหงื่อแตกในเวลากลางคืน มีรายงานจากอังกฤษว่าผู้ป่วยอาจจะมีอาการเพียง 5 วัน และหายได้โดยตรวจไม่พบเชื้ออีกหลังจากวันที่ 8 แต่กระนั้นก็เริ่มพบว่ามีผู้เสียชีวิตที่ป่วยจากการติดเชื้อตัวนี้ โดยในขณะนี้ประเทศอังกฤษมีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ราย แต่ก็ยังไม่อาจประมาทได้เนื่องจากขณะนี้ จำนวนผู้ป่วยอาจจะยังไม่มากนัก เปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตจึงยังดูเหมือนต่ำมากๆ
ย้อนกลับมาดูตัวเลขของการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย จนถึงวันนี้มีผู้ป่วยแล้วมากกว่า 2.1 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 2.1 หมื่นราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตที่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขโดยเฉลี่ยของทั่วโลก เชื้อที่พบในปัจจุบันมากกว่า 95% ยังเป็นสายพันธุ์เดลต้า โดยมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวันต่ำกว่าระดับ 3,000 ราย มาหลายวันแล้ว แต่ผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ประมาณบวกลบ 30 รายทุกวัน และหากดูตัวเลขในแต่ละพื้นที่ก็จะพบว่ายังมีการระบาดกระจายในทุกจังหวัด จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดคือกรุงเทพมหานคร ซึ่งจำนวนผู้ป่วยใหม่เริ่มลดลงต่ำกว่า 500 รายต่อวัน ส่วนอีก 2 จังหวัดที่จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังใกล้เคียง 200 รายต่อวัน คือชลบุรี และนครศรีธรรมราช ส่วนจังหวัดอื่นๆ จำนวนจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 100 ราย ซึ่งพอที่จะทำให้อธิบายได้ว่าการควบคุมการระบาดในขณะนี้ได้ผลอยู่ในระดับที่ดี
ในส่วนของจำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนนั้น ขณะนี้มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วรวมทั้งสิ้นมากกว่า 102 ล้านโดส เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดียิ่ง โดยมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 แล้วมากกว่า 51 ล้านโดส ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว มากกว่า 45 ล้านโดส และได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้น แล้วเกือบ 6 ล้านโดส โดยรัฐบาลสามารถจัดให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวกในหลายพื้นที่ วัคซีนซิโนแวคที่เคยใช้อยู่เดิมมีการใช้น้อยลงมากแล้ว โดยวัคซีนหลักที่ใช้อยู่ในขณะนี้คือแอสตราเซเนกา ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ และไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอนเอ โดยมีวัคซีนโมเดอร์นาที่ได้รับจากการบริจาคมาเสริมอยู่บ้าง ใช้การฉีดที่เรียกว่าสูตรไขว้ระหว่างวัคซีน 2 ชนิดนั้น ร่วมกับการฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอนเอ 2 เข็ม สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดเลย และหลังจากครบ 2 เข็มนี้แล้วประมาณ 3 เดือนเป็นต้นไป ก็สามารถเข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอนเออีก 1 เข็ม
การที่จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ของประเทศไทยลดลงตามลำดับนั้น น่าจะเป็นผล มาจากการที่จำนวนประชากรเป้าหมายที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วขณะนี้เกินกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดมีภูมิต้านทานของตัวเอง และสภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว ตลอดจนการที่ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักในภยันตรายของโรคนี้และให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การอยู่ห่างๆ จากคนอื่นๆ และการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นผลดียิ่งที่ทำให้เกิดการชะลอตัวของการระบาดอย่างชัดเจน
ตั้งแต่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศถึงการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนเป็นต้นมานั้น รัฐบาลไทยโดยศบค. ก็ได้ให้ความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ได้พยายามวางมาตรการอย่างเต็มที่ในการที่จะควบคุมไม่ให้มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการระบาดใหญ่ตามมา ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเชื้อตัวนี้ระบาดง่ายและเร็วมาก
แต่ในที่สุดก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อนี้ในประเทศไทย โดยเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากโคลัมเบีย ตามด้วย
คนไทยอีก 2 คนที่เดินทางมาจากไนจีเรีย หลังจากนั้นก็พบว่าตรวจพบในชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศได้โดยผ่านระบบ Test and Go, Sandbox และการกักตัวแบบ alternative quarantine
ด้วยเหตุนี้ทำให้ ศบค. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานจึงเสนอให้ยกเลิกการอนุญาตให้ผู้เดินทางต่างชาติลงทะเบียนใหม่เพื่อจะเข้ามาในประเทศในรูปแบบ Test and Go และ Sandbox (ยกเว้นภูเก็ต) ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมเป็นต้นมา ยกเว้นผู้ที่ลงทะเบียนไว้แล้วประมาณ 9 หมื่นรายที่พร้อมเดินทางเข้าประเทศแล้ว ที่จะต้องผ่านการตรวจสอบและติดตามตัวอย่างเข้มงวด ส่วนผู้ที่จะเข้ามาภายหลังนั้นจะต้องได้รับการกักตัวอย่างน้อย 10 ถึง 14 วัน ในรูปแบบของ alternative quarantine เท่านั้น โดยศบค.จะทบทวนเรื่องนี้ในวันที่ 4 มกราคม 2565 หลังจากการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
ถึงอย่างไร การที่จะพบผู้ติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มเติมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน และเพื่อให้ประชาชนไทยชาวไทยปลอดภัยที่สุด ถึงแม้ว่าประชาชนเกินกว่า 70% จะได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วก็ตาม ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ เนื่องจากพบว่าเชื้อสายพันธุ์นี้สามารถจะลดภูมิต้านทานในผู้ที่ไดัรับการฉีดวัคซีนแล้วได้ค่อนข้างจะมาก และเกิดขึ้นกับวัคซีนทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วนานเกินกว่า 3 เดือน รัฐบาลจึงเริ่มรณรงค์และสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วบางส่วน และจะเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปีหน้า ทั้งนี้ได้มีการสั่งซื้อวัคซีนแล้วโดยเป็นวัคซีนแล้ว โดยเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาและไฟเซอร์ชนิดละไม่น้อยกว่า 30 ล้านโดส และยังได้พิจารณาที่จะจัดหาเพิ่มเติมอีก รวมทั้งวัคซีนชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพ รวมกันแล้วประมาณ 100 ล้านโดส
ในส่วนของประชากรที่ยังเป็นเด็กนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 5 ถึง 11 ปีได้แล้ว โดยปริมาณวัคซีนที่ให้จะเป็น 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ให้ในผู้ใหญ่ ทั้งนี้การฉีดต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่และผู้ปกครองของเยาวชนก่อนเสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะทำให้เกิดความครอบคลุมของประชากรทั้งประเทศที่จะได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะให้ถึง 80% ในปี 2565 ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
จากการศึกษาทั้งในต่างประเทศและภายในประเทศไทยเองของนักวิชาการทางการแพทย์หลายคณะพบว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในระยะเวลาที่เหมาะสมจะทำให้ภูมิต้านทานกลับคืนมาสู่ระดับสูงขึ้นที่น่าจะเพียงพอต่อการป้องกันได้ทั้งเชื้อสายพันธุ์เดลต้าซึ่งยังเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทย และเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งจะตรวจพบในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เชื่อว่ายังจะสามารถควบคุมการระบาดไว้ได้
สิ่งที่น่าวิตกกังวลที่อาจจะทำให้เกิดการระบาดกลับมาอีกรอบหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชนิดใดก็แล้วแต่ก็คือการที่ช่วงปลายปีนี้ เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่ ประชาชนมีความคาดหวังที่จะได้สนุกสนานรื่นเริง ทั้งในระดับของครอบครัว หน่วยงาน องค์กร ชุมชน จังหวัด จนถึงระดับประเทศ การที่รัฐบาลต้องกลับมาควบคุมในเรื่องของการจัดงานสังสรรค์รื่นเริงนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ถึงแม้จะกระทบกับปัญหาทางด้านธุรกิจในช่วงดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงที่นักธุรกิจและประชาชนที่ทำอาชีพค้าขายส่วนหนึ่งสามารถจะสร้างรายได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนและองค์กรต่างๆ ควรต้องยอมรับ เพราะเป็นมาตรการที่รัฐใช้ในการปกป้องประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ให้ปลอดภัยจากโรคระบาด เนื่องจากหากมีการระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว สภาพเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเริ่มดีขึ้นตามลำดับจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอีกรอบหนึ่งอย่างแน่นอน
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการป้องกันตัวเองและประเทศในการช่วยกันป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อสายพันธุ์เดิมและสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งถึงแม้จะเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการเกิดโรคได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่จนถึงขณะนี้มีข้อมูลเชิงประจักษ์มากพอว่า เป็นเชื้อที่หากมีการติดก็ไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง และโอกาสของการเสียชีวิตก็ต่ำมากๆ แต่ถึงอย่างไรผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ส่วนผู้ที่ได้รับการฉีดแล้วก็ต้องฉีดให้ครบโดสที่กำหนดไว้ และผู้ที่ฉีดครบโดสแล้วก็ต้องเข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นในระยะเวลาอันเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องทำร่วมกับการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งพวกเราชาวไทยปฏิบัติได้อย่างดีมากอยู่แล้ว ด้วยการร่วมด้วยช่วยกันแบบนี้ ตัวเราเองและประเทศชาติจะปลอดภัย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี