สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในบ้านเรานั้น ยังไม่ได้ลดน้อยลง อย่างที่หลายๆ คน เข้าใจ เพราะหากได้ติดตามดูตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันนั้นก็จะพบว่าตัวเลขที่ถูกรายงานอย่างเป็นทางการยังคงอยู่ที่ระดับวันละมากกว่า 2,000 ราย โดยมีผู้ที่เสียชีวิตในแต่ละวันอยู่ที่ระดับ 30 ราย และตัวเลขที่น่าสนใจ คือ จำนวนตัวเลขของผู้ป่วยหนักที่ต้องรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยหนักหรือ ICU นั้นอยู่ที่ระดับ 900 ราย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสของการเสียชีวิตอยู่มากพอสมควร โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี ที่มีจำนวนถึง 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และส่วนที่เหลือนั้นเป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่เรียกกันว่ากลุ่ม 608 โดยผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มนี้ บางรายไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนเลย และหลายรายฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็น
กระทรวงสาธารณสุขยังคงไม่ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการว่าโรคนี้เปลี่ยนสถานะจากโรคระบาดใหญ่เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว เนื่องจากข้อมูลเชิงสถิติในปัจจุบันในการที่จะประกาศดังกล่าวยังไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีการประกาศจากภาครัฐ ก็ได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าทั้งหมดแล้ว ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้คนกลับมาอยู่ในสภาพปกติเกือบจะเรียกได้ว่า 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องน่ากังวลที่ติดตามมาก็คือการดำเนินชีวิตแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อได้โดยง่าย
เป็นความโชคดีที่เชื้อไวรัสโคโรนา-2019 โอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการรุนแรง ยกเว้นแต่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามที่กล่าวมาแล้ว และถึงแม้จะมีข่าวออกมาเนืองๆ ว่ามีสายพันธุ์อื่นๆ เกิดขึ้นบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด จึงอาจเชื่อได้ว่าขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงน่าจะมีจำนวนมากกว่าที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการอยู่หลายสิบเท่า เพราะตัวเลขที่ประกาศอย่างเป็นทางการนั้น นับเฉพาะผู้ที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น
โดยจำนวนผู้ที่ติดเชื้อแท้จริงในแต่ละวันอีกมากมายนั้น เป็นผู้ที่อาจจะไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยแต่ตรวจพบด้วยวิธีการตรวจ ATK แล้วว่าน่าจะมีการติดเชื้อจึงเข้าสู่กระบวนการรักษา และน่าจะมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เข้ารับการรักษาในลักษณะที่เรียกว่า เจอ แจก จบ คือได้รับคำแนะนำและรับยาเพื่อกลับไปดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน ซึ่งควรจะต้องกักตัวเองเพื่อการรักษาไม่น้อยกว่า 7 วัน และ 3 วัน หลังจากนั้นอาจจะออกไปปฏิบัติงานได้ โดยต้องเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่คือ สวมหน้ากากอนามัยอย่างมิดชิด รักษาระยะห่างกับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำยาที่ฆ่าเชื้อไวรัสได้ที่ดีที่สุดคือแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์
ในชีวิตจริงนั้นน่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยซึ่งมีการติดเชื้อ ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้ไปพบแพทย์ โดยอาจจะทำการรักษาด้วยตัวเอง ซึ่งหากไม่ได้เป็นผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคนี้ก็จะหายไปได้เอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีตัวอย่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาว่า มีผู้ติดเชื้อส่วนหนึ่งต้องกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และบางรายอาจมีอาการหนักจนถึงกับเสียชีวิตก็เคยปรากฏมาแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้เป็นข่าวออกไปเท่านั้น
จึงมีข้อแนะนำว่าผู้ที่มีอาการคล้ายเป็นหวัดหรือสงสัยว่าตัวเองติดเชื้อและได้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ซึ่งปัจจุบันหาได้ง่าย ราคาไม่แพงและวิธีการตรวจก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะทำด้วยตัวเองได้ เมื่อพบว่าผลการตรวจขึ้นขีดแดง 2 ขีด ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อนั้นควรจะต้องไปพบแพทย์ในสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่แต่ละคนมีสิทธิพื้นฐานในการรักษาพยาบาลอยู่ ไม่ว่าจะสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิในระบบประกันสังคม สิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจก็แล้วแต่ เพื่อจะได้พบแพทย์และได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็หาโอกาสในการเข้าพบเภสัชกรในร้านขายยาที่เข้าร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในโครงการเจอ แจก จบ เพื่อรับการแนะนำและการรักษาเบื้องต้นได้เช่นกัน
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแนวทางการรักษาโรคโควิด-19 เพื่อให้โรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่างๆ ได้ปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรในการรักษาพยาบาลโดยเฉพาะการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยได้กำหนดให้มีการให้ยาเพื่อการรักษา โดยคำนึงถึง 2 เรื่องคือ ความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อแต่ละรายและอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อรายนั้นๆ ตามความหนักเบา
ในกรณีที่เป็นผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อย การรักษาจะเป็นแบบผู้ป่วยนอก ยาที่ได้รับจะเป็นยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก และยาที่ควบคุมปริมาณไวรัสซึ่งอาจจะเป็นฟ้าทะลายโจรหรืออาจจะเป็นฟาวิพิราเวียร์ ตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
ในกรณีที่เป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยง แต่มีอาการเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะได้รับยาเช่นเดียวกับกลุ่มที่กล่าวมาแล้ว แต่ถ้าหากมีอาการมากพอสมควร เช่น มีไข้มีไอเจ็บคอ น้ำมูกไหล นอกจากจะได้ยารักษาตามอาการแล้ว แพทย์จะสั่งยาโมลนูพิราเวียร์ให้ทานควบคู่กันไปด้วยเป็นระยะเวลา 5 วัน
แต่ถ้าหากผู้ป่วยเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการมากพอสมควร มีโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง เช่นโรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินลมหายใจ โรคทางระบบประสาท หรือผู้ที่มีอาการหนักเมื่อมาถึงโรงพยาบาล และได้รับการประเมินความรุนแรงของอาการตามแนวทางที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้กำหนดไว้ว่าเป็นกลุ่มสีเหลืองหรือสีแดง ก็จะอยู่ในข่ายที่จะได้เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ในโรงพยาบาลแห่งใดก็ได้ของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งแพทย์จะดูแลรักษาตามความรุนแรงของอาการ เริ่มด้วยการให้ยาตามอาการและยาที่ควบคุมลดปริมาณไวรัสตามข้อบ่งชี้ ซึ่งปัจจุบันจะใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นหลัก โดยหากผู้ป่วยเป็นสตรีมีครรภ์จะได้รับยาฉีดที่มีชื่อว่าเรมเดซิเวียร์
นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจจะได้รับยาซึ่งเป็นยาสูตรผสมของยาต้านไวรัส 2 ตัว ที่มีชื่อว่าแพกซ์โลวิดที่กล่าวกันว่าช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ดีกว่ายาตัวอื่นๆ แต่ก็เป็นยาที่มีราคาแพงมาก ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงเท่านั้น ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลอาจจะได้ยากลุ่มสเตียรอยด์ร่วมด้วย เพื่อระงับอาการอักเสบทั่วไปส่วนผู้ป่วยที่มีปัญหาในระบบทางเดินลมหายใจอาจจะต้องให้ออกซิเจนร่วมด้วย โดยการให้ออกซิเจนผ่านสายท่อขนาดเล็กเข้าสู่โพรงจมูก หรือถ้ามีอาการหนักกว่านี้อาจจะต้องใช้เครื่องที่ช่วยดันอากาศเข้าสู่ปอดที่เรียกว่าเครื่องไฮโฟวล์ และถ้ามีอาการหนักจริงๆ อาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้ปอดยังคงทำงานได้ และมีปริมาณของออกซิเจนหมุนเวียนอยู่ในกระแสโลหิตมากเพียงพอต่อการที่จะไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ระยะนี้มีกระแสข่าวเรื่องการที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยพยายามหายาที่ชื่อว่า โมลนูพิราเวียร์มาใช้เอง โดยได้รับข้อมูลมาว่ายาตัวนี้เป็นยาที่ดีกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะจากการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยทดลอง พบว่ายาตัวนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหนักและเสียชีวิตได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่มีฐานะดีบางส่วนจึงพยายามหายาตัวนี้มาเพื่อกินเองหลังจากที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโดยไม่ได้เข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาที่ควรจะเป็น
เมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมานี้ จึงมีข่าวใหญ่ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาแถลงข่าวเองว่า มีการจับผู้ลักลอบนำเข้ายาดังกล่าวจำนวน 80,000 เม็ด เป็นมูลค่านับล้านบาท เพื่อมาจำหน่ายในตลาดมืดอันเป็นเรื่องที่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะยาตัวนี้ยังเป็นยาที่อนุมัติให้ใช้ได้ ในกรณีฉุกเฉินที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เท่านั้น จึงยังถือว่าเป็นยาควบคุมและการใช้ต้องเป็นไปตามคำสั่งของแพทย์ ไม่ใช่เป็นยาที่มีจำหน่ายและหาซื้อได้ทั่วไป และเป็นเรื่องที่ประชาชนควรจะต้องเข้าใจว่า ผลของการใช้ยาตัวนี้อาจจะเกิดผลกระทบในทางลบ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการติดตามศึกษาวิจัย จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการใช้เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียติดตามมา
ประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีระบบบริการสาธารณสุขที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลกนี้ และรัฐบาลก็มีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดและสนับสนุนระบบต่างๆ ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดการบริการด้านสาธารณสุขทั้งในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา และการฟื้นฟูสภาพที่ดีและครบถ้วน เป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแน่นอน ดังจะเห็นได้จากการดำเนินการเมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 เกิดขึ้น จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในเรื่องนี้และหากมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ก็ควรจะเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาที่ควรจะเป็นตามสิทธิพื้นฐานของทุกคน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี