ถึงวันนี้แล้ว “การเมือง” กำลัง “เข้มข้น” ขึ้นเรื่อยๆ จากการนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และการมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยหากไม่มีการยุบสภาก่อนกำหนด สภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลชุดปัจจุบันจะครบวาระในเดือนมีนาคม 2566 ดังนั้น จากข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ในปัจจุบัน จะพบรายงานการย้ายเข้า-ออกพรรคของบรรดานักการเมืองทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ รวมถึงการเปิดตัว (ว่าที่) ผู้สมัคร สส. แบบแบ่งเขตของแต่ละพรรค
นอกจากความเคลื่อนไหวของนักการเมืองและพรรคการเมืองแบบ “ออนไซต์ (On Site)” หรือการพบปะทำกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ แล้ว “โลกออนไลน์ (Online)”ก็มีการแข่งขันและปะทะกันทางความคิดอย่างดุเดือดโดยเฉพาะระหว่าง “แนวร่วม” ของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เห็นได้จาก 2 แพลตฟอร์มยอดฮิตอย่างเฟซบุ๊ค-ทวิตเตอร์ มีการสร้างเพจและบัญชีผู้ใช้งานจำนวนมากเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในลักษณะโฆษณาประชาสัมพันธ์ฝ่ายที่ตนเองสนับสนุนพร้อมไปกับตั้งข้อสังเกตหรือวิพากษ์วิจารณ์อีกฝั่งหนึ่ง
“ไอโอ (IO-Information Operation)” หรือ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร” จากคำที่ใช้ในแวดวงการทหาร หมายถึงการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเพิ่มความชอบธรรมให้ฝ่ายตนเองและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นคำที่คนทั่วไปน่าจะคุ้นเคยไปแล้ว จากการที่แนวร่วมทางการเมืองแต่ละฝ่ายใช้ช่องทางออนไลน์ปั่นกระแสจริงบ้างเท็จบ้าง หรือไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ก็ไม่ได้บอกความจริงครบทุกแง่มุมบ้าง
และแม้ว่าเรื่องของไอโอจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกลยุทธ์การปล่อยข่าวลวง-ข่าวลือ ถูกใช้กันมาตั้งแต่เมื่อมนุษย์เริ่มรวมตัวกันเป็นสังคมหรือชุมชน แต่ในยุคออนไลน์นั้นน่ากังวลกว่าตรงที่ 1.ความพิเศษของสื่อออนไลน์คือผู้ใช้งานสามารถเลือกรับเนื้อหาได้เอง ซึ่งโดยปกติคนเราก็มักมีอคติ (Bias) ที่อยากได้ยินหรือได้เห็นสิ่งที่ตรงกับความคิดหรือความชอบของตนเองอยู่แล้ว กับ 2.อัลกอริทึม (Algorithm) หรือระบบคัดกรองของแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่มักจะเก็บข้อมูลแล้วเลือกแต่สิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และคัดกรองสิ่งที่ผู้ใช้งานไม่สนใจออกไป
จากทั้ง 2 ข้อข้างต้น นำมาสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า“ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” หมายถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เมื่อตะโกนออกไปในห้องหรือบริเวณที่เป็นหน้าผาแล้วจะได้ยินเสียงแบบเดียวกันสะท้อนกลับมา คำคำนี้จึงถูกนำมาใช้กับสิ่งที่พบในโลกออนไลน์ ที่ผู้มีความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด ก็มักจะเลือกเป็นเพื่อน (ทางออนไลน์) กับผู้ที่คิดเหมือนกัน อยู่ในเพจหรือกลุ่มของคนที่คิดแบบเดียวกัน บวกกับระบบก็คัดกรองแต่เนื้อหาที่ชอบหรือยึดถือนั้นมาให้อีก นานวันเข้าก็เริ่มไม่รับฟังผู้เห็นต่าง สังคมจึงแตกแยกขึ้นเรื่อยๆ
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ว่าในไทย สหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมถึงล่าสุดกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดใน ฟิลิปปินส์ ซึ่งมุมหนึ่งได้ทราบกันแล้วว่าผู้ชนะคือบองบอง มาร์กอส (Bongbong Marcos) บุตรชายของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) อดีตผู้นำเผด็จการของฟิลิปปินส์ แต่อีกมุมหนึ่ง ในสังคมฟิลิปปินส์ก็มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ฝ่ายสนับสนุนมาร์กอสผู้ลูก มีความพยายามเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะตีความประวัติศาสตร์ยุคมาร์กอสผู้พ่อเสียใหม่จากที่ชาวโลกและชาวฟิลิปปินส์เคยรับรู้เดิม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ บองบองชนะเลือกตั้ง
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ โคแฟค (ประเทศไทย) องค์กรภาคประชาสังคมที่มีภารกิจร่วมตรวจสอบข่าวลวงหรือข่าวปลอมที่แพร่ระบาดบนโลกออนไลน์ ชวนตัวแทนของโคแฟค อย่าง กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ รวมถึงตัวแทนจากองค์กรพันธมิตรอย่าง Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ชุติกาญจน์สุขมงคลไชย มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ “บทเรียนการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ ข้อมูลข่าวสารและข้อมูลลวง” ซึ่งทั้ง 2 คน มีโอกาสได้ไปร่วมประชุมในเวทีความร่วมมือของสมาชิกรัฐสภา หรือพรรคการเมืองในภูมิภาคเอเชีย (Council of Asian Liberals and Democrats (CALD)
การประชุมนี้จัดขึ้นที่เมือง อิโลอิโล (Iloilo) ซึ่ง กุลชาดา เล่าว่า ในที่ประชุมมีการยกตัวอย่างการตีความประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ยุคเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ในมุมของผู้สนับสนุน บองบอง มาร์กอส โดยพยายามเปลี่ยนภาพจำของ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จากในฐานะผู้นำเผด็จการ มีการคอร์รัปชั่นอย่างมหาศาลและใช้อำนาจมืดกำจัดใครก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นยุคสมัยแห่งการพัฒนาที่สังคมเป็นระเบียบ-ผู้คนมีวินัย แล้วชี้มายังฟิลิปปินส์ยุคปัจจุบันที่ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาความยากจน
ขณะที่ ชุติกาญจน์ เล่าว่า ในที่ประชุมมีการตั้งข้อสังเกต 1.ข้อเท็จจริงแพ้อารมณ์ความรู้สึก โดยฝ่ายซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงวิพากษ์วิจารณ์ตนเองว่านำเสนอเนื้อหาเน้นข้อเท็จจริง (Fact Base) แต่ไม่สามารถทำให้โดนใจ (Compelling) ได้เหมือนกับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งใช้รูปแบบการนำเสนอที่เน้นกระตุ้นความรู้สึกและปลุกเร้าอารมณ์ กับ 2.การสร้างความจริงทางเลือก (Alternative Reality) โดยมีคนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากคนอายุน้อยๆ อาจเกิดไม่ทันรับรู้ความเลวร้ายในยุคที่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ปกครองฟิลิปปินส์
“มองฟิลิปปินส์แล้วย้อนดูไทย” กุลชาดา ให้ความเห็นว่า สังคมไทยตกอยู่ในภาวะการเมืองแบ่งขั้วมานานและยังไม่ถูกแก้ไข และสื่อเองก็ไม่ต่างจากสังคม ทำให้ไม่มีฉันทามติร่วมกันในการแสวงหาความจริงร่วม ทั้งนี้ การต่อสู้ทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามต่างใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เป็นข้อมูลจริง หรือแม้กระทั่งสร้างข้อมูลเท็จ ทำให้ประชาชนไม่รู้จะเชื่อใครได้บ้าง บทบาทของสื่อมวลชนจึงถูกคาดหวัง และการเลือกตั้งใหญ่ของไทยที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ส่วน ชุติกาญจน์ กล่าวว่า จะทำอย่างไรให้คนต่างรุ่น (ช่วงวัย) หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันได้มาออกแบบความจริงร่วมทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้สังคมมีทางออกและนำไปสู่การปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งไทยก็เหมือนกับฟิลิปปินส์ในเรื่องของการมีประวัติศาสตร์ฉบับทางการชุดหนึ่ง แต่อีกด้านก็ยังมีชุดข้อมูลอื่นๆ ให้สืบค้น ขณะเดียวกัน การรับมือข้อมูลบิดเบือนทางการเมือง (Political Disinformation)
ต้องเป็นการขยับร่วมกันของทั้งสังคม ไม่ว่าพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง องค์กรจัดการเลือกตั้ง (เช่น กกต.) สื่อ ภาคประชาสังคมและประชาชน
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่าน ซึ่ง “สงครามข่าวสาร” (โดยเฉพาะในยุคออนไลน์ที่แพร่กระจายได้เร็วและกว้าง) เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้สังคมไม่อาจปรองดองสมานฉันท์ได้โดยง่าย บวกกับรูปแบบการนำเสนอที่เข้าถึงอารมณ์จนผู้คนเลือกที่จะเชื่อโดยไม่สนใจว่าเป็นความจริงแบบรอบด้านหรือไม่..คำถามคือแล้วจะหาทางออกในเรื่องนี้กันอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี