กระแสความรู้สึกและดูเหมือนว่าจะมีความวิตกกังวลอยู่ด้วยในผู้คนจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ก็คือเรื่องของการที่มีการกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่งของโรคโควิด-19 ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดจะไม่ได้ถูกนำเสนอออกมา เนื่องจากขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจะรายงานเฉพาะตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่มีอาการมากและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยรายงานเป็นรายสัปดาห์เท่านั้นซึ่งหากมีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดจริงซึ่งหมายถึงผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อยด้วยนั้น ก็น่าจะมีจำนวนหลายหมื่นคนต่อวัน
ตัวเลขอย่างเป็นทางการของกระทรวงสาธารณสุขในรอบสัปดาห์ก่อนนั้น มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการมากและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามที่กล่าวไว้แล้ว 4,914 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 74 รายในจำนวนทั้งหมดนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 553 ราย และมีผู้ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า 319 ราย เป็นตัวเลขที่มากกว่าในรอบสัปดาห์ก่อนหน้านั้นพอสมควร ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการระบาดใหม่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากอาการโดยส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อนั้นไม่รุนแรง จึงไม่เป็นกระแสข่าวที่ออกมาในทางลบมากนัก
ในเรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ดังจะเห็นได้จากการที่ได้มีการออกประกาศแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ และเนื่องจากเป็นประกาศที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะต่อผู้ที่อยู่ในกระบวนการรักษาเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกันกับประชาชนในการที่จะได้รับรู้ในเรื่องของโรคนี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและหากต้องติดเชื้อและเข้าสู่กระบวนการรักษาจะได้มีความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ประกาศของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ไม่ได้มีการอ้างอิงถึงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019เนื่องจากเชื้อส่วนใหญ่ที่ระบาดอยู่ขณะนี้ยังเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์ย่อยจำนวนอยู่บ้าง ก็ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ว่าก่อให้เกิดอาการรุนแรงจนเป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด
ดังที่ได้เคยกล่าวและเป็นเรื่องที่น่าจะต้องรับรู้โดยทั่วกันว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด ยี่ห้อใดและจำนวนเข็มเท่าใด ก็ไม่สามารถจะป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ เพียงแต่หากได้รับเชื้อเข้าไปสู่ภูมิต้านทานที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นจะมีปริมาณมากเพียงพอในการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะหากได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 3 เข็ม หรือ 4 เข็มขึ้นไป อาจจะมีข้อยกเว้นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งในเรื่องของผู้สูงอายุ และผู้เป็นโรคในกลุ่ม 608 บางรายอยู่บ้าง
ใบประกาศฉบับดังกล่าวนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งผู้ป่วยตามอาการและความรุนแรง เป็น 4 กลุ่มใหญ่โดยพิจารณาจากผู้ติดเชื้อเข้าข่าย ผู้ที่มีผลตรวจ ATK หรือ RT-PCR ให้ผลบวก ทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ โดยแบ่งกลุ่ม ตามความรุนแรงของโรคและปัจจัยเสี่ยงเป็น 4 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือสบายดี
กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญอื่นๆ
กลุ่มที่ 3 ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงแต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายได้แก่ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือปอดเรื้อรังอื่นๆ โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง เบาหวาน ภาวะอ้วน ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำและผู้ติดเชื้อ HIV
กลุ่มที่ 4 ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบและระดับออกซิเจนต่ำกว่า 94 เปอร์เซ็นต์
โดยได้มีแนวทางในการรักษา ตามระดับความรุนแรงของโรค ทั้ง 4 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยให้ยารักษาตามอาการ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง โดยปฏิบัติตัวตามแนวทาง DMH คือสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ
กลุ่มที่ 2 ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยรักษาตามอาการ การให้ยาต้านไวรัสหรือไม่ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ และปฏิบัติตัวตามแนวทาง DMH เช่นกัน
กลุ่มที่ 3 ผู้ป่วยกลุ่มนี้ นอกจากการรักษาตามอาการแล้ว จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัสร่วมด้วยเสมอ โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่มีอยู่ว่ามากหรือน้อย ยาต้านไวรัสที่ใช้ในกลุ่มนี้มีอยู่ 4 ตัว ด้วยกันคือแพ็กซ์โลวิด (paxlovid) เรมดิซิเวียร์ (remdisivir) โมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้จะใชัได้ผลดีเมื่อเริ่มยาภายในระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยขนาดปริมาณและวิธีที่ให้นั้น เป็นไปตามข้อกำหนดของยาแต่ละตัว ส่วนยาตัวที่ 4 ที่ถูกนำมาใช้ขณะนี้มีชื่อว่า LAAB (Long Acting Antibody) เป็นภูมิต้านทานสำเร็จรูป โดยเป็นยา 2 ตัวซึ่งนำมาใช้พร้อมกันด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพกอย่างละ 1 เข็ม ควรฉีดภายใน 5 วัน เมื่อเริ่มมีอาการ มีข้อบ่งชี้เฉพาะในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องล้างไต ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ค่อยดี ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ เป็นยาราคาแพงและต้องเบิกจ่ายเป็นกรณีเฉพาะเท่านั้น
กลุ่มที่ 4 ผู้ป่วยกลุ่มนี้แนะนำให้เริ่มต้นรักษาโดยยาเรมดิซิเวียร์อย่างเร็วที่สุด โดยต้องให้เป็นระยะเวลา 5-10 วันแล้วแต่อาการทางคลินิก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องให้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ร่วมด้วยเสมอนอกเหนือจากยาตามอาการอื่นๆ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งของกลุ่มนี้อาจจะต้องเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยหนักและต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
กรณีที่โรคโควิด-19 เกิดในเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีก็ยังคงจัดกลุ่มตามความรุนแรงของอาการเป็น 4 กลุ่มเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ โดยผู้ป่วยตั้งแต่กลุ่ม 2 ขึ้นไปอาจต้องให้ยาฟาวิพิราเวียร์ร่วมด้วยเป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ป่วยกลุ่ม 3 จะให้ยาเเรมดิซิเวียร์ 3 วัน หรือฟาวิพิราเวียร์ 5 วันตามการพิจารณาของแพทย์ รวมทั้งยังอาจใช้ยาแอร์ LAAB ได้ด้วย ในพวกที่มีปัจจัยเสี่ยงรุนแรง
ส่วนในกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่ 4 ที่เกิดขึ้นในเด็กช่วงอายุดังกล่าว ยาต้านไวรัส ที่แนะนำให้ใช้ในขณะนี้คือเรมดิซิเวียร์เท่านั้น โดยต้องให้ร่วมกับยากลุ่มสเตียรอยด์ตามดุลยพินิจของแพทย์
ขอกล่าวถึงการรักษาโรคโควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์ด้วย เพราะว่าการตั้งครรภ์ถือว่าเป็นอาการเสี่ยงและการใช้ยาต้านไวรัสยังมีข้อจำกัด ฉะนั้นเมื่อป่วยเป็นโควิด-19 นั้น จะต้องดูอายุของการตั้งครรภ์ประกอบการรักษาด้วยเสมอ ห้ามใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 เนื่องจากยาตัวนี้จะทำให้เด็กอ่อนในครรภ์เสียชีวิตหรือพิการได้ แต่สามารถจะใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 และ 3 ตามการพิจารณาของแพทย์ร่วมกับผู้ป่วยและญาติ กรณีที่แพทย์เห็นว่าจะต้องให้ยาต้านไวรัสนั้น ยาที่อาจจะปลอดภัยในขณะนี้คือเรมดิซิเวียร์ซึ่งสามารถใช้ได้ในการตั้งครรภ์ทุกไตรมาส โดยควรให้ผู้ป่วยและญาติได้ร่วมตัดสินใจกับแพทย์ในการให้ยาเพื่อการรักษาเสมอ ยาโมลนูพิราเวียร์ซึ่งใช้ได้ผลค่อนข้างดีในผู้ใหญ่นั้น ห้ามนำมาใช้ในหญิงมีครรภ์เพราะจะทำให้เกิดความพิการของเด็ก
สำหรับยาฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นยาที่มีการนำมาใช้เองอย่างแพร่หลายโดยประชาชนนั้น ยังสามารถใช้ได้ในผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและไม่มีปัจจัยเสี่ยงในผู้ที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาตัวนี้ แนะนำให้ใช้ชนิดแคปซูลขนาด 400 mg ของอภัยภูเบศร ซึ่งใน 1 เม็ดจะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 12 มิลลิกรัม โดยรับประทานครั้งละ 5 เม็ด วันละ 3 เวลาก่อนอาหารเป็นระยะเวลา 5 วัน ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง และห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าขณะนี้ผู้ป่วยที่มีอาการและสงสัยว่าเป็นโรคโควิด-19 นั้นจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามที่มีสิทธิพื้นฐานอยู่เท่านั้น ยกเว้นเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงที่กระทบต่อการหายใจ ที่อาจจะเข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งยังสามารถจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งได้
ในระบอบประชาธิปไตยนั้นประชาชนทุกคนต้องรู้จักทั้งเรื่องสิทธิและหน้าที่ ซึ่งจะต้องนำมาใช้ควบคู่กันเสมอ การอ้างเพียงสิทธิอย่างเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการใช้สิทธิ์นั้น ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นเป็นอันขาด รวมทั้งประชาชนต้องมีหน้าที่ตามที่กรอบกฎหมายได้กำหนดไว้เสมอ
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี