มีกระแสข่าว ว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน “โยนหินถามทาง”
ในทำนองว่า อยากจะให้คุณหญิงพจมาน “นายหญิง” ออกหน้านำพรรคเพื่อไทยด้วยตนเอง
1. กระแสข่าวนี้ ออกมาในช่วงเวลาที่คะแนนนิยมในตัวอุ๊งอิ๊งลูกสาวทักษิณ ไม่ปังอย่างใจหวัง
สส.พรรคเพื่อไทย หัวคะแนน เครือข่ายผู้สนับสนุน ทยอยไหลออกไปอยู่พรรคอื่นจำนวนมาก
เวทีหาเสียงของเพื่อไทยเอง ก็หมดมุขที่จะชูอุ๊งอิ๊งเป็นจุดขายจึงได้แต่นำทักษิณขึ้นมาชูขายทุกเวที
กลายเป็นเวทีลูกเร่ขายพ่อ สรรเสริญเยินยอทักษิณ เอาเรื่องเก่าๆ มาเล่าซ้ำซาก ทั้งๆ ที่ บริบทความเป็นจริงของโลกและสังคมไทยเปลี่ยนไปไกลแล้ว หลายเรื่องรัฐบาลปัจจุบันทำงานต่อยอดไปไกลกว่าอดีตมากมาย
แต่กลับไม่สามารถพรีเซ็นต์ว่า อุ๊งอิ๊งมีความรู้ความสามารถอย่างไร คู่ควรที่จะเป็นผู้บริหารประเทศอย่างไร เพราะสังคมส่วนใหญ่รับรู้แต่เพียงว่า “เป็นลูกสาวทักษิณ” เหมือนเด็กเส้น ลัดชั้น ข้ามหัวผู้คนมากมายขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งการเมืองระดับสูงของพรรค โดยไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถของตนเอง แต่เพราะถือตั๋วชินวัตร ตั๋วทักษิณ ยิ่งกว่าตั๋วช้าง
2. ก่อนหน้านี้ ยิ่งลักษณ์โดดลงการเมือง เคยมีตำแหน่งบริหารบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และมีชื่อเป็นประธานกรรมการบริหาร บ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
แต่มาถึงแพทองธาร ไม่เคยผ่านประสบการณ์การบริหารธุรกิจใหญ่ๆ ประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดินไม่ต้องพูดถึงรวมถึงกิจกรรมสาธารณประโยชน์ที่บ่งบอกถึงความมีอุดมการณ์ทางการเมืองก็ไม่มี
จุดเด่น คือ เกิดบนกองเงินกองทอง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (มรดกจากบุพการี) อาทิ ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ บ.เอสซี แอสเสทฯ
โรงแรมโรสวู๊ด กทม., เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ เดอะซิสเตอร์ เนลส์ แอนด์ มอร์
ปี 2565 มีการประเมินการถือหุ้นใน 21 บริษัทของอุ๊งอิ๊ง พบว่ามีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
เกือบทั้งหมด ไม่ใช่ร่ำรวยเพราะความสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเองเหมือนลูกชาวบ้านทั่วไป
แต่เป็นเพราะมรดกบุพการี
พอมาสู่สนามการเมือง ชาวบ้านย่อมมีความตะขิดตะขวงใจ เพราะตำแหน่งการเมืองไม่ใช่มรดกของตระกูล มันจะต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถนำพาบ้านเมืองส่วนรวม บริหารราชการแผ่นดิน มีวุฒิภาวะ
ไม่ใช่ใครเข้ามาแล้วจะออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของบุพการี หรือแก้สัมปทานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของใคร หรือแม้แต่จะนำประเทศไปเป็นลูกไล่มหาอำนาจตะวันตกแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของใคร
3. น่าสงสัยว่า จนบัดนี้ พรรคเพื่อไทยก็ยังแทงกั๊ก ไม่ยอมเปิดตัวเสียทีว่าใครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ
4. คุณหญิงพจมาน เป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับลิ่วล้อบริวารของทักษิณ
เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยออกหน้า รับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่อำนาจรัฐที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายมาก่อน
แต่คุณหญิงแสดงบทบาทอยู่เบื้องหลัง
รายงานข่าวระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 25 ก.ย.2563 คุณหญิงพจมาน ได้ร่วมหารือกับแกนนำระดับอาวุโสของพรรค นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในพรรค
วันที่ 30 พ.ย.2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรค และทุกตำแหน่งในเพื่อไทย เนื่องจากถูกกันให้อยู่วงนอกอำนาจของพรรคเพื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมา สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย
คุณหญิงไปร่วมให้กำลังใจในการขึ้นเวทีการเมืองของลูกสาวด้วย
5. อิทธิฤทธิ์บารมีของนายหญิง
5.1 คดีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป
คดีเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ฯ (ชินคอร์ป) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ระหว่าง น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน
ศาลชั้นต้น มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2551 ให้จำคุกคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ คนละ 3 ปี และนางกาญจนาภา
2 ปี ไม่รอลงอาญา
ระบุ “จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) เป็นภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยแต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 (บรรณพจน์) จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลย
ทั้งสามจึงร้ายแรง” (บางส่วนของคำพิพากษาศาลชั้นต้น)
แต่ต่อมา ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2554 กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น โดยให้ยกคำร้องในส่วนของคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ ให้จำคุก 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา 1 ปี
จังหวะเวลาเข้าสู่การเปลี่ยนขั้วอำนาจมาสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พอดี
ในที่สุด ก็ปรากฏว่า อัยการสูงสุดในขณะนั้น นายจุลสิงห์วสันตสิงห์ ตัดสินใจที่จะไม่ยื่นฎีกา
อ้างเหตุผลว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์สามารถแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้อย่างมีเหตุมีผล
โดยปกติแล้ว ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแตกต่างจากศาลชั้นต้นในลักษณะเดียวกันนี้ อัยการควรจะต้องยื่นฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐาน โดยเฉพาะในกรณีนี้มีคำยืนยันจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ยื่นฎีกาในทุกประเด็น
และยิ่งกว่านั้น ยังมีบันทึกของประธานศาลอุทธรณ์บันทึกแย้ง แต่อัยการกลับไม่มีการยื่นฎีกา
5.2 คดีฟอกเงินกู้ธนาคารกรุงไทย
นายพานทองแท้ ลูกชายของคุณหญิงพจมานกับนายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย
คุณหญิงเดินทางไปให้กำลังใจ และคอยสนับสนุนช่วยเหลือทุกวิถีทาง
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลปราบโกง) พิพากษายกฟ้องในชั้นต้น เนื่องด้วยคดีดังกล่าว มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย ปรากฏว่า มีความเห็นแย้งกัน สุดท้าย จึงต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ที่ระบุให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า จึงทำให้นายพานทองแท้ได้รับอานิสงส์ ยกฟ้อง
พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้แก่ น.ส.ศิริพร กาญจนสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ไม่เห็นพ้องด้วยกับผู้พิพากษาองค์คณะที่พิพากษายกฟ้อง อาศัยอำนาจตามมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้ทำความเห็นแย้งไว้หลังคำพิพากษาด้วย
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน มีความเห็นแย้งว่า ชี้ประเด็นข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและรายละเอียดสำคัญอย่างน่าสนใจ กระทั่งระบุว่า... จำเลยจึงรู้หรือควรรู้ว่าเงิน 10 ล้านบาท ที่ได้รับมาจากนายวิชัยเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อธนาคารกรุงไทยที่อนุมัติให้เครือกฤษดามหานคร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 (1) (2) พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี...
สุดท้าย อัยการสูงสุด โดยรองอัยการสูงสุด คนเดียวกับที่สั่งไม่ฟ้องคดีบอส สั่งไม่อุทธรณ์คดีนี้
5.3 คดีย้ายเอื้อญาติยุคยิ่งลักษณ์
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ได้ก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร. ยุคยิ่งลักษณ์
โดยอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และคดีอยู่ในชั้นศาลเวลานี้
มีการโยกย้ายโดยมิชอบ ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด คือ ย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรี เปิดทางให้ย้าย ผบ.ตร. แล้วก็ดันก้นญาติตนเอง (พี่ชายคุณหญิง) ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.
อันที่จริง ตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ... พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เคยได้รับการแต่งตั้งแบบก้าวกระโดด ข้ามลำดับอาวุโส ขึ้นมาสู่ตำแหน่ง “รอง ผบ.ตร.” จนนำไปสู่การร้องเรียนของนายตำรวจที่ถูกข้ามหัว
ในครั้งนั้น พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. (ครองยศ พล.ต.ท.) ก้าวลงจากตำแหน่ง เปิดทางให้มีการโยกย้ายโผนายพลนอกฤดูกาล เปิดช่องให้ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ได้โยกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ขึ้นเสียบเป็น “ผู้ช่วย ผบ.ตร.” รอจังหวะก้าวขึ้นไปเป็น รองผบ.ตร.อีกขั้นหนึ่ง
หลังจากนั้น พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ ขณะนั้นเป็นรอง ผบ.ตร. ก็ถูกโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดทางให้มี “รอง ผบ.ตร.” คนใหม่ หลังจากนั้น ก็ได้มีการตั้ง พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสลำดับ 5 กระโดดขึ้นเป็น รองผบ.ตร. จริงๆ !
เรียกว่า ข้ามอาวุโส ผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่มีอาวุโสกว่าหลายคน
นายตำรวจใหญ่บางคน รับไม่ได้ ถึงกับยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม ความบางตอนว่า
“...จะให้กระผมเข้าใจได้หรือไม่ว่า เป็นการเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ซึ่งมีอาวุโสเป็นอันดับที่ 5 เป็นพี่ชายภรรยา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (ทักษิณ ชินวัตร) และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ตลอดเวลาว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาจถูกย้ายออกจากตำแหน่ง จึงมีการตีความเลี่ยงไปจากที่เคยปฏิบัติ และเสนอชื่อ พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ข้ามอาวุโสผู้อื่น ซึ่งถ้า พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ไม่ใช่พี่ภรรยาของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และมิได้มีข่าวเกี่ยวกับตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาก่อน ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตลอดจนคณะกรรมการข้าราชการตำรวจจะดำเนินการและมีมติเช่นนี้หรือไม่...”
อย่างไรก็ตาม พี่ชายของคุณหญิง ก็ไปได้ถึงฝั่งฝันในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ก็เป็นเหตุทำให้คุณยิ่งลักษณ์ติดบ่วงคดี “ย้ายเอื้อญาติ” นั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี