สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” สรุปความเห็นของ ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวงเสวนา “อยู่หรือไป หาบเร่แผงลอยไทย ใครกำหนด?” เมื่อเร็วๆ นี้ มานำเสนอกับท่านผู้อ่าน ซึ่งแม้จะเป็นการกล่าวถึงประเด็นหาบเร่แผงลอย แต่ก็สามารถฉายภาพให้เห็นปัญหา “หลักคิดการบริหารจัดการโดยผู้มีอำนาจในภาครัฐ” ที่นำไปสู่การ “ซ้ำเติม”ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้ง” ของประชาชนกลุ่มต่างๆ ในประเทศ ในประเด็นอื่นๆ ได้เช่นกัน
ศ.สุริชัย เริ่มต้นด้วยการย้อนมองช่วงที่กรุงเทพมหานคร(กทม.) กำลังมีบรรยากาศการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. ในปี 2565 ซึ่งดูจะมีความหวัง แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่ากรุงเทพฯ ไม่มีพื้นที่ให้พูดคุยกันถึงอนาคตของเมือง“ในเมื่อโลกนี้มีความไม่แน่นอน..คำถามคือแล้วเราไปซ้ำเติมความไม่แน่นอนนั้นหรือเปล่า?” แน่นอนมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น ด้านหนึ่งมีผู้มองหาบเร่แผงลอยแล้วเห็นว่าเกะกะไม่สะดวกบ้าง ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนบ้างแต่อีกด้านก็มีเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่จริง
“เราต้องการโลกที่เราอยู่ มีกลิ่นเดียวกับเราเท่านั้นหรือเปล่า? ฉะนั้นใจคอที่ร่วมทุกข์กันได้ มันน่าจะเป็นจุดเริ่มแต่ถ้าเราไม่ช่วยมอง ทุกอย่างใครผิดกฎหมายจัดการหมด คนชาวเลผิดกฎหมาย เขาจะไปไหว้ที่ฝังพ่อฝังแม่เขาก็ไม่ได้คือแบบนี้กฎหมายกับความเหลื่อมล้ำที่คนเข้าไม่ถึงมันเยอะมาก ถ้าเราไม่มีหูฟัง ไม่มีตาดูบ้าง ไม่เปิดใจเลยก็จะลำบาก” ศ.สุริชัย กล่าว
หากถามว่าอะไรคือจุดแรกที่ต้องแก้ปัญหา? ศ.สุริชัย ให้ความเห็นว่า “ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าใครเดือดร้อนบ้าง?แต่ปัญหาคือไม่มีพื้นที่ให้มาพูดคุยกันจริงๆ” เช่นคนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายจัดระเบียบกรุงเทพฯ มีการยกเลิกจุดผ่อนผันซึ่งเป็นพื้นที่อนุญาตให้ทำการค้าหาบเร่แผงลอยได้ จากเดิมที่มีกว่า 700 จุด เหลือเพียง 100 กว่าจุด คำถามคือเราทราบกันหรือไม่ว่าผู้ค้าที่ถูกยกเลิกพื้นที่ค้าขายไปอยู่ที่ไหน? ลูกหลานเขาเป็นอย่างไร? หรือแม้แต่ช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คนเหล่านี้เดือดร้อนมาก-น้อยเพียงใด?
นักวิชาการอาวุโสผู้นี้ มองว่า “เมื่อพูดถึงชีวิตเรามีโอกาสสนใจเฉพาะชีวิตของคนที่เป็นดารา ในขณะที่ชีวิตคนตัวเล็กๆ ที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว แม้จะมีตัวเลขแต่เราก็รู้จักเฉพาะตัวเลข ไม่รู้จักชีวิตของเขา” ดังนั้นข้อแรกที่เราต้องทำใจยอมรับก่อนคือ “เราใช้วิธีแก้ปัญหาโดยไม่ทำความรู้จักกันเลย” เราไม่ได้ใช้ความรู้จักเป็นฐานของการแก้ปัญหา “แต่เราใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการใช้อำนาจ” เช่น กทม. มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งด้านหนึ่งไม่มีใครปฏิเสธว่าปัญหาของบ้านเมืองต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย
แต่อีกด้านหนึ่ง การขยายตัวของเมืองอย่างกรุงเทพฯ ไม่ได้ขยายตัวด้วยกฎหมาย แต่ด้วยพลังทางเศรษฐกิจและสังคม จนกลายเป็นอย่างที่ทราบกันดีว่า กรุงเทพฯ นั้นโตกว่าเมืองอันดับ 2 ของประเทศไทยอย่างมาก และไม่น่าจะหยุดโตได้ง่ายๆ เพราะกรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมความสะดวกหลายๆ อย่าง และนั่นคือปัจจัยที่มีผลต่อ “ราคาที่ดิน” เช่น ที่มีข่าวว่าที่ดินย่านสีลมราคาแพงมาก หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่าง กรมธนารักษ์ ไม่ได้เป็นผู้ที่ทำให้ที่ดินตรงนั้นแพง เพียงแต่ออกมายืนยันว่าที่ดินดังกล่าวแพงจริงเท่านั้น
“ถ้าที่ดินแพง มันมีใครมีสิทธิ์ที่จะอยู่หรือใช้ประโยชน์จากที่ดินแพงบ้าง? หรือต้องเป็นคนรวยเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ใช้กรุงเทพฯ ได้ อันนี้มันก็เป็นคำถามสำหรับบ้านเมืองเรา ที่เรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ผมคิดว่าเงื่อนไขอันแรกนี่คือการไม่ยอมทำความรู้จักจริงๆ แต่แก้ปัญหาโดยเครื่องมือทางนโยบายแบบที่เคยชิน
ยิ่งเวลารวมศูนย์อำนาจก็ใช้วิธีรวมศูนย์ เสมือนหนึ่งว่ารวมศูนย์แล้วจะแก้ปัญหา ทุบโต๊ะแล้วจะแก้ปัญหาได้หมด ผมคิดว่าเราสร้างความยากลำบากหรือสร้างเคราะห์กรรมให้คนไปเท่าไรเรายังไม่รู้เลย” ศ.สุริชัย ระบุ
ทั้งนี้ แม้การเลือกตั้งจะไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่การเลือกตั้งก็ควรจะมากับความหวังว่าจะไม่แก้ปัญหากันแบบเดิมๆ ด้วยวิธีที่เคยชิน “ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่บางครั้งกฎหมายที่มีอยู่ก็ไปรังแกคนตัวเล็กตัวน้อย” วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้ทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ในร่องในรอยหรือในความคาดหวังกลายเป็นอาชญากร เช่น มองแผงลอยเป็นเศรษฐกิจอาชญากร ถามว่ามุมมองแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือ? หรือจริงๆ แล้วนี่คือเศรษฐกิจที่เป็นวิถีชีวิตของคนในเมือง
แต่สิ่งนี้เกิดจากความไม่เข้าใจสภาพเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ซึ่ง ศ.สุริชัยก็ยังกล่าวด้วยว่า “วิชาการด้านเศรษศาสตร์ยังไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเศรษฐศาสตร์ของสาธารณะ แต่เป็นเพียงเศรษฐศาสตร์ของเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์เพื่อการลงทุน ซึ่งเศรษฐศาสตร์ต้องมองเห็นโจทย์ของความเหลื่อมล้ำด้วย” เราไม่อาจปฏิเสธว่ากรุงเทพฯ มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่คำถามที่ต้องคิดต่อคือ เราอยากให้กรุงเทพฯ เป็นสวรรค์ของคนที่หลากหลาย หรือเฉพาะกับคนที่มีเงินร่ำรวยเท่านั้น
เช่นเดียวกัน “วิชาการด้านผังเมืองต้องเป็นอะไรมากกว่าการขีดๆ เขียนๆ อะไรก็ได้ลงบนแผนที่(โดยอ้างการมีอำนาจ)” เพราะชีวิตในกรุงเทพฯ(หรือในเมืองที่มีความเป็นมหานคร) ไม่ได้มาจากตึกใหญ่-ทุนใหญ่อย่างเดียว หรือจากรัฐอย่างเดียว “การแก้ปัญหาต้องเห็นคนเป็นชีวิตคน” หากปฏิบัติกับคนที่อยู่ในสังคมเหลื่อมล้ำเหมือนเป็นอาชญากร คำถามคือแล้วจะมีเรือนจำพอขังหรือไม่? เพราะทุกวันนี้ก็มีการพูดถึงปัญหานักโทษล้นคุกกันอยู่ โดยสรุปก็คือ “การแก้ปัญหานั้นภาครัฐในฐานะผู้มีอำนาจต้องระดมความรู้ในหลายๆ ด้าน” และผู้เกี่ยวข้องก็ต้องได้มีส่วนร่วม
อย่างที่บอกไปในตอนต้นแล้วว่า ศ.สุริชัย พูดเรื่องนี้ในวงเสวนาประเด็นหาบเร่แผงลอย “แต่หากมองไปไกลกว่ากรุงเทพฯ จะพบปัญหาทำนองเดียวกันเกิดขึ้น นั่นคือข้อถกเถียงเรื่องสิทธิการใช้ประโยชน์ทรัพยากร” ดังที่ศ.สุริชัย ได้ยกตัวอย่างของ “ชาวเล” ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีข่าวข้อพิพาทระหว่างชุมชนชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล กับการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงกรณีคล้ายๆ กัน เช่น ชาวเลราไวย์ จ.ภูเก็ต ชาวเลเกาะลันตา จ.กระบี่ โดยฝ่ายชาวเลยืนยันว่าอยู่อาศัยและทำมาหากินมาหลายชั่วอายุคน กับฝ่ายเอกชนที่ยืนยันว่าตนเองก็มีกรรมสิทธิ์ที่ดินถูกต้อง
หรือที่เป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับรัฐ คือกรณี “ชุมชนกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์” ในหลายพื้นที่ของไทย เมื่อรัฐที่มีนโยบายอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ป่า มีการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งบางครั้งก็ไปทับซ้อนกับพื้นที่ที่ประชาชนยืนยันว่าตั้งหมู่บ้านอยู่อาศัยมาแล้วหลายชั่วอายุคน เพียงแต่ในช่วงที่รัฐประกาศนั้นชุมชนไม่ทราบเรื่องจึงไม่ได้โต้แย้งแสดงหลักฐานตั้งแต่ต้นจนกลายเป็นคดีความต้องต่อสู้กันในภายหลัง รวมไปถึงข้อถกเถียง “ที่ดินของรัฐควรพิจารณาให้สิทธิ์ใครได้ใช้ (ด้วยการเช่าระยะยาว) ก่อน” ระหว่างชุมชนหาเช้ากินค่ำกับทุนใหญ่ เป็นต้น!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี