ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) สภาองค์กรของผู้บริโภค และ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงจัดเวที Policy Dialogue ครั้งที่ 2 เรื่อง “ตอบโจทย์ประชาชน: พรรคการเมืองกับนโยบายสวัสดิการ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” เมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นสวนทางกับวัยแรงงานที่ลดลง และในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งในแง่สุขภาพ เศรษฐกิจ ความมั่นคงในชีวิต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบการจัดสวัสดิการเพื่อรองรับผู้สูงวัยอย่างถ้วนหน้า ซึ่งนโยบายสวัสดิการรองรับสังคมสูงวัย เป็นเรื่องที่ถูกนำเสนอจากภาควิชาการและภาคประชาสังคมมาอย่างต่อเนื่อง
ในงานนี้มีตัวแทนพรรคการเมืองจำนวน 9 พรรคร่วมเสนอนโยบาย ประกอบด้วย ดร.เดชรัต สุขกำเนิด พรรคก้าวไกล, ดร.พรชัย มาระเนตร์ พรรคชาติพัฒนากล้า, ดร.อุดมศักดิ์ ศรีสุทิวา พรรคชาติไทยพัฒนา, ปริเยศ อังกูรกิตติ พรรคไทยสร้างไทย, ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม พรรคประชาธิปัตย์, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พรรคพลังประชารัฐ, ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ พรรคเพื่อไทย,ศุภชัย ใจสมุทร พรรคภูมิใจไทย และ บุญยอดสุขถิ่นไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ
ซึ่งในภาพรวมพบว่า สอดคล้องกับ 5 เสาหลัก ตามมติการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 เรื่อง หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ดังนี้ 1.การพัฒนาผลิตภาพประชากร เช่น มีนโยบายขยายอายุการเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี ให้ผู้สูงวัยที่ยังมีศักยภาพในการทำงานสามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเพิ่มมาตรการจูงใจผู้ประกอบการ มีการจัดฝึกอบรม Re-Skill / Up-Skill เพื่อเติมองค์ความรู้และทักษะการทำงานที่เหมาะสมให้กับผู้สูงวัย เป็นต้น
2.การออมระยะยาว เช่น ให้มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ เพื่อให้เกิดระบบการออมเงินอย่างถ้วนหน้า เพิ่มปริมาณการออมภาคสมัครใจ โดยยกระดับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จูงใจให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่อายุไม่มากเพื่อได้รับเงินตอบแทนในบั้นปลายที่มากขึ้น รวมไปถึงการทำพันธบัตรป่าไม้ โดยนำพื้นที่มาปลูกไม้ยืนต้น และนำต้นไม้ไปขายเป็นพันธบัตรกับนักลงทุนในต่างประเทศได้ ตลอดจนแนวคิดการขายคาร์บอนเครดิตในแรงงานภาคการเกษตร เป็นต้น
3.เงินอุดหนุนและบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ เช่น นโยบายเงินบำนาญผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า เดือนละ3,000 บาท และเพิ่มขึ้นตามระดับอายุตามภาระการดูแลสุขภาพที่มากขึ้น นโยบายการให้เงินผ่าน Digital Walletสำหรับทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปจะได้รับ 10,000 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายร้านค้าใกล้บ้านภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเพิ่มเม็ดเงินในการหมุนเวียนเศรษฐกิจ การจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้สูงวัยให้บ้านละ 5 หมื่นบาท รวมถึงการจัดตั้งธนาคารหมู่บ้านหรือธนาคารชุมชน ด้วยเงินหมุนเวียนแห่งละ 2 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขในการนำเงินไปใช้เพื่อการประกอบอาชีพ เป็นต้น
4.การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ และ Long-term Care เช่น ปฏิรูปให้เกิดความชัดเจนโดยแยกระบบดูแลสุขภาพออกจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ไปอยู่ภายใต้
การบริหารของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แห่งเดียว การตั้งกองทุนดูแลผู้สูงอายุระยะยาวโดยให้คนละ 9,000 บาทต่อเดือน ยกระดับการใช้ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ในทั่วประเทศ โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นหัวใจหลักการให้กรมธรรม์ประกันชีวิตจำนวน 1 แสนบาทกับผู้สูงวัยทุกคน พร้อมเป็นแหล่งเงินที่สามารถกู้ยืมมาใช้ในระหว่างดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นต้น
และ 5.การดูแลโดยครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่นเช่น นโยบายการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุในทุกหมู่บ้านโดยมีเงินอุดหนุนปีละ 3 หมื่นบาท วางเป้าหมายสร้างอาสาสมัครบริบาลในท้องถิ่น รวม 1 แสนอัตรา เพื่อมาช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียง การจัดตั้งสถานชีวาภิบาลเพิ่มขึ้นเพื่อดูแลผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ รวมถึงการเพิ่มค่าตอบแทนให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น ขณะเดียวกัน ผู้แทนพรรคการเมืองยังได้ร่วมกันให้คำตอบถึงประเด็นสำคัญอย่างเรื่องของ “แหล่งงบประมาณ” ในการดำเนินนโยบายต่างๆ
โดยมีหลายแนวทางที่สอดคล้องกัน เช่น การปรับลดงบประมาณ หรือรีดไขมันที่ไม่จำเป็น เพิ่มการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตัวเลขจีดีพีสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนอย่างน้อยปีละ 5-6% การลดหนี้ครัวเรือน การเจรจาการค้ากับต่างประเทศเพิ่ม การผลักดัน Health & Wellness Center เพื่อดึงดูดผู้สูงวัยจากต่างประเทศให้เข้ามารับการดูแลในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสร้างงานได้หลายแสนตำแหน่ง ตลอดจนการนำระบบ Blockchain เข้ามาปรับใช้ เพื่อลดปัญหาการทุจริต
คอร์รัปชั่น ซึ่งจะช่วยดึงงบประมาณที่สูญเสียไปได้ด้วยในตัว
ในช่วงท้ายของงาน ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวสรุปว่า การสร้างระบบหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงอายุ เป็นสวัสดิการแบบถ้วนหน้า นับเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในการพูดคุยมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยมีข้อเสนอทางวิชาการมากมาย บนความสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ว่าประเทศไทยควรดำเนินการอย่างไรบ้างซึ่งต้องเข้าใจสภาพปัญหาของประเทศนี้ มีคนจำนวนมากยังต้องทำงานทั้งชีวิตโดยที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ ยิ่งทำงานก็ยิ่งจนลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงย้อนกลับไปสู่โจทย์ว่าเราจะทำอย่างไรให้ระบบบำนาญแห่งชาติเกิดขึ้นได้จริง
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยและประธานกรรมการบริหาร สช. กล่าวว่า หลายคนชอบเปรียบเปรยว่าประเทศไทยแก่ก่อนรวย
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุก่อน ทำให้ดูเหมือนกับไม่เคยเตรียมการอะไรไว้ หากแต่ในฐานะประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย
ขอยืนยันว่าไทยได้เตรียมการเข้าสู่สังคมสูงวัยมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่ปี 2525 ที่ไทยได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาโลกว่าด้วยผู้สูงอายุ ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตามมาด้วยการเกิดขึ้นหลายสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นระบบประกันสังคม ในปี 2534 ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในปี 2545 เกิดพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ในปี 2546 ตามมาด้วยกองทุนผู้สูงอายุ และ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ตามมาในปี 2554 เป็นต้น ทั้งนี้ ระบบกองทุน การออมต่างๆ แม้จะเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ไม่ได้ถูกผลักดันและส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง จึงหวังว่าตัวแทนทั้ง 9 พรรคการเมืองที่เข้าร่วมในเวทีนี้ และถือเป็นผู้กล้าหาญในการเข้ามาทำงานที่ยากยิ่ง จะสามารถฟันฝ่าให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงและสำเร็จได้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี