วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เดือนตุลาคมนั้นมีวันสำคัญอยู่หลายวันทั้งในประเทศไทยและระดับสากล หนึ่งในนั้นคือ “วันปลอดความรุนแรงสากล (International Day of Non-Violence)” ตรงกับ “วันที่ 2 ตุลาคม ของทุกปี” โดยในปี 2550 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เลือกวันดังกล่าว ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) วีรบุรุษผู้ปลดปล่อยชาวอินเดียจากการปกครองของอังกฤษ ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งหลักการต่อสู้แบบ “อหิงสา” ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่ง UN คาดหวังว่า วันปลอดความรุนแรงสากล จะเป็นการเน้นย้ำวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ
“ความรุนแรง (Violence)” นั้นมีตั้งแต่ระดับใหญ่ๆ อย่างสงครามทั้งระหว่างประเทศและสงครามกลางเมืองของกลุ่มต่างๆ ภายในประเทศ ลงมาถึงระดับเล็กที่สุดแต่ใกล้ตัวปัจเจกบุคคลที่สุดอย่างความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น “ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดย ธีรพัฒน์ อังศุชวาล อาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มต้นนำการบรรยายด้วยการอธิบายความแตกต่างระหว่าง 2 คำ
กล่าวคือ“สุขภาพจิต (Mental Health)” มีความหมายที่ชัดเจนแต่แคบ มองเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งรวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ และความรู้ด้านจิตเวชกับการดูแลสุขภาพจิต แต่ “สุขภาวะทางจิต (Mental well-being)” จะมีความหมายกว้างกว่า ทั้งสุขภาวะทางกาย ทางปัญญา และทางสังคมที่เชื่อมร้อยกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ เมื่อจำแนกคนเป็นกลุ่มต่างๆ จะพบปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาวะทางจิต ไล่ตั้งแต่
“เราพบว่าปัญหาความเสี่ยงเรื่องสุขภาพจิตสัมพันธ์กับความรุนแรงอย่างมาก และที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประชากรใดก็ตาม มีความเสี่ยงและความเข้มข้นในแง่ที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางอย่างมากเลยต่อปัญหาต่างๆ แต่มันก็มีโอกาสอยู่ในปัญหาเหล่านี้ ก็คือสังคมไทยเราเริ่มตื่นตัวเรื่องสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น มากกว่า 10-20 ปีที่แล้ว” อาจารย์ธีรพัฒน์ กล่าว
จากการทบทวนงานวิจัยที่มีในประเทศไทยหลายชิ้น มีชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจคือ “อนาคตสุขภาพจิตคนไทย 2576 (Futures of Mental Health in Thailand 2033)” ฉายภาพอนาคตสุขภาพจิตในสังคมไทย 5 รูปแบบ แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้านหนึ่งคือ “ความกลัว” ได้แก่ 1.การระเบิดขึ้นของความกลัว (Terror Outburst) หมายถึงสังคมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรุนแรงจนผู้คนอยากย้ายหนีออกไป กับ 2.มวลชนผู้โดดเดี่ยว (Pack of Lone Wolves) มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก แต่เกิดปัญหาความเหงาทางสังคม ความโดดเดี่ยวของประชากรกลุ่มต่างๆ จะมีมากยิ่งขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่งก็มี “ความหวัง” ได้แก่ 1.จุดหมายแห่งความสุขร่วมกัน (Land of Smiling Minds) ประเทศไทยเป็นต้นแบบด้านสุขภาพจิต เป็นหมุดหมายในการใช้ชีวิตของคนทั่วโลก ด้วยทุกภาคส่วนช่วยกันส่งเสริมให้สังคมเปี่ยมสุขเกิดขึ้นจริง 2.สุขภาพใจที่กระจายถึงกัน (Decentralized Mental well-being) กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทรัพยากรด้านสุขภาพจิตได้รับการจัดสรรให้เข้ากับความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และ 3.วิกฤตที่แฝงด้วยโอกาส (Opportunity in Adversity) ทุกภาคส่วนพยายามรับมือกับความผันผวนต่างๆ (เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม) ปัญหาสุขภาพจิตจึงยังไม่ถูกแก้ไข ผู้คนจึงพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
อาจารย์ธีรพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า “อนาคตแห่งความหวังจะเกิดขึ้นได้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน” ไม่ว่าจะเป็น 1.ภาครัฐ มีนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมด้านสุขภาพจิต ส่งเสริมเทคโนโลยีและเอื้อต่อการรวมตัวของคนในสังคม 2.ภาคเอกชน สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานด้วยความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต 3.ภาคชุมชน ทำอย่างไรจะสร้างความเข้าใจ ลดปัญหาอคติและการตีตรา และ 4.ภาคประชาชน แต่ละคนต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพจิตอย่างจริงจัง
“จริงๆ เรามีกฎหมายด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2551 (พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ.2551) เพียงแต่กฎหมายนี้เน้นความสำคัญและให้น้ำหนักไปที่การยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ การคัดกรอง การส่งตัวผู้ป่วย พร้อมกันนั้นเรามีธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ปี 2565 ซึ่งพูดถึงมุมของการสร้างเสริม แต่การมีอยู่ของกฎหมายนโยบาย 2 ตัวนี้ยังไม่เพียงพอ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ทำอย่างไรเราจะเชื่อมร้อยสิ่งที่อยู่ในกฎหมายเหล่านี้และทำให้มันเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” อาจารย์ธีรพัฒน์ ระบุ
อาจารย์ธีรพัฒน์ กล่าวถึงกรอบทิศทางนโยบายที่ต้องพัฒนา “ระบบสุขภาวะทางจิต (Mental well-being System)” ตั้งแต่เรื่องของทักษะหรือพฤติกรรมส่วนบุคคลที่จะมีสุขภาวะทางจิตที่ดี ไปจนถึงการออกแบบนโยบายที่ทำให้คนมีความสุข ผ่านหลักคิดด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและคัดกรอง การทำงานเชิงรุก การกระจายทั่วถึง และแบ่งการดูแลสุขภาพจิตเป็นลำดับขั้นเพื่อลดการกระจุกตัวของผู้รับบริการในสถานพยาบาล
ลดปัญหาและจัดการปัจจัยที่ส่งผลให้การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ไม่เป็นธรรม ตลอดจนเพิ่มโอกาสและความหวังให้ทั้งคนป่วยและไม่ป่วยมีความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะ“จะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนไม่ขับเคลื่อนวัฏจักรแห่งความรุนแรงในสังคม เพราะเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเปราะบางและหากได้รับผลกระทบจากความรุนแรงก็จะมีแนวโน้มจะส่งต่อความรุนแรงนั้น” ระบบสุขภาพทางจิตจิตจึงต้องลงทุนและให้คุณค่ากับโครงสร้างสังคมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อประชากรกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
“หน้าตาของระบบนี้มีอยู่ 4 ส่วนสำคัญที่เชื่อมร้อยกัน 1.ส่วนของกลไกนโยบายทั้งชาติและท้องถิ่น ที่ต้องเชื่อมโยงสอดประสาน เน้นการมีส่วนร่วม 2.กลไกการให้บริการที่มีอยู่แล้ว ต้องทำอย่างไรให้มีทรัพยากร บุคลากร การจัดองค์กรมีนวัตกรรมที่เพียงพอ เหมาะสม ต่อเนื่องและทั่วถึง พร้อมกันนั้นตามหลักการสร้างเสริม 3.เน้นพัฒนากลไกชุมชนและสังคม ผ่านการขับเคลื่อนวิชาชีพต่างๆ มากมายให้มาเกี่ยวข้อง กลายเป็นโครงข่ายทางสังคมที่สำคัญ
พร้อมกันนั้น 4.กลไกบ้าน ในฐานะกลไกที่ใกล้ชิดกับผู้คนที่สุด ทำอย่างไรจะให้ครอบครัว กลุ่มเพื่อน มีความรู้ทักษะต่างๆ ที่สามารถสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตได้ ด้วยความรู้เราต้องผสมผสานความรู้ทางจิตเวชและความรู้สุขภาวะเข้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้เวลาเราพูดถึงสุขภาพจิต เราจะเห็นเพียงแค่บนสุด แต่เราทำอย่างไรให้กลไกพื้นฐานที่สุด ใกล้ชิดกับคนมากที่สุดสามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ด้วย ” อาจารย์ธีรพัฒน์ กล่าว
อาจารย์ธีรพัฒน์ ฝากทิ้งท้ายว่า ยังมีเรื่องการพัฒนานวัตกรรมที่เข้าถึงประชากรทุกกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพลดอคติและการตีตรา, พัฒนาวิธีคิดและวิธีการค้นหา เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์สุขภาวะทางจิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน นำไปสู่การออกแบบการส่งเสริมและดูแล ตลอดจนเสริมพลังและยกระดับกลไกกลางทั้งระดับชาติและพื้นที่ให้เชื่อมร้อยกัน ซึ่งระบบสุขภาวะทางจิตจะเป็นเหมือน “ตาข่าย” รองรับและดูแลจิตใจของคนไม่ให้ร่วงหล่น และเสริมสร้างความเข้มแข็งไปพร้อมกัน!!!

'เชาว์'มองคดีทักษิณ 112 มีโอกาส'พลิก'หากศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจสืบพยานเพิ่ม
ราชกิจจาฯประกาศ ระยะทางห้ามเปลี่ยนเลน บนถนนมิตรภาพ
พี่ชายน้ำตาคลอ กินหมูกระทะในรอบ2ปี ต้องประหยัดเงินรักษา น้อง2ขวบติดเตียง
‘ทหารผาเมือง’ปะทะแก๊งขนยาบ้า ลักลอบเข้าทาง‘อ.แม่ฟ้าหลวง’ ยึดอีก 1.4 ล้านเม็ด
'เอกนิติ'มอบ'สรรพากร'ศึกษารายละเอียด หลังศาลสั่งเก็บ'ภาษีหุ้นชิน'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี