“ข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง “เด็กโตนอกบ้าน...ในสถานฯที่ไม่มีใครมองเห็น” เมื่อเดือนเมษายน 2566 โดยมหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายการเลี้ยงดูทดแทนประเทศไทย และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันมีเด็กประมาณ 120,000 คน ที่อยู่ในสถานรองรับเด็กประเภทต่างๆ การที่เด็กไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่ ถูกพรากจากครอบครัวโดยไม่จำเป็น และได้รับบริการเลี้ยงดูทดแทนที่ไม่เหมาะสมในสถานสงเคราะห์ ทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และอารมณ์ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ รวมทั้งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจ”
วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวในการแถลงข่าวของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อช่วงกลางเดือน พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่ง กสม. พบประเด็นการดูแลเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีปัญหาสำคัญหลายประการ ดังนี้ (1) ความยากจนและการขาดโอกาสทางการศึกษาซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่ต้องเข้าสู่สถานสงเคราะห์ ทั้งที่ไม่ใช่เด็กกำพร้าแท้แต่ยังมีพ่อหรือแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่
(2) การขาดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกำกับดูแลการดำเนินกิจการของสถานสงเคราะห์ โดยเฉพาะการลดจำนวนสถานสงเคราะห์และจำนวนเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน (3) ความไม่มีประสิทธิภาพของกลไกกำกับดูแลสถานสงเคราะห์ตามกฎหมาย และสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นสถานสงเคราะห์อย่างถูกต้อง ทำให้มีสถานสงเคราะห์ของรัฐบางส่วนและสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนส่วนใหญ่ดำเนินกิจการโดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก และนำไปสู่การละเมิดสิทธิเด็ก
(4) ปัญหาด้านกฎหมายและนโยบายของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ เช่น การกำหนดคำนิยามสถานรองรับเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ยังไม่ครอบคลุมสถานรองรับเด็กทุกประเภท การขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือสถานพัฒนาและฟื้นฟู ที่กำหนดให้ต้องมีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในสถานที่ที่จะขออนุญาตจัดตั้ง ทำให้สถานสงเคราะห์เด็กเอกชนส่วนหนึ่งไม่สามารถยื่นจดทะเบียนจัดตั้งได้
การสนับสนุนค่าอาหารให้แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ของรัฐที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในอัตราเพียง 57 บาทต่อคนต่อวัน การสนับสนุนค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูเด็กแก่ครอบครัวอุปถัมภ์ และการให้ความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์เด็กครอบครัวยากจนในจำนวนไม่มาก ยังส่งผลกระทบต่อการดูแลโภชนาการของเด็กให้มีคุณภาพ เพียงพอ และไม่ตอบสนองต่อปัญหาของแต่ละครอบครัว
และ (5) ทัศนคติของคนในสังคม ที่ไม่เอื้อต่อการลดจำนวนเด็กในสถานสงเคราะห์ เนื่องจากบางส่วนยังมีทัศนคติด้านลบต่อการรับเด็กที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด หรือเด็กในสถานสงเคราะห์มาอุปการะ ทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการเลี้ยงดูในรูปแบบครอบครัวอุปถัมภ์ ดังนั้น ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2566มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
(1) ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 1.1 ให้ พม. ร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ดำเนินการจดแจ้งสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย พร้อมทั้งสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลจำนวนสถานสงเคราะห์และจำนวนเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ
จัดให้มีกลไกคัดกรองเด็กที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะกระบวนการรับเข้า ส่งต่อ และส่งคืนเด็กสู่ครอบครัวหรือชุมชน ซึ่งควรมีนักวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมประเมินสถานการณ์ของเด็กและครอบครัว อีกทั้งให้ทบทวนความเหมาะสมของการเลี้ยงดูเด็กแต่ละคนอย่างรอบด้านทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย และให้เตรียมความพร้อมก่อนส่งคืนเด็กสู่ครอบครัวหรือชุมชน
1.2 ให้มีการกำกับดูแลมาตรฐานสถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น การประเมินคุณสมบัติ ความสามารถด้านวิชาชีพ และความเหมาะสมทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ การตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และมาตรฐานการดูแลเด็ก เป็นต้น โดยให้มีการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในสถานสงเคราะห์ โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านสิทธิเด็กและการดูแลส่งเสริมพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย
1.3 ให้มีการส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับครอบครัวอุปถัมภ์เพื่อเพิ่มจำนวนครอบครัวอุปถัมภ์ให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็กระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565-2569)ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดการนำเด็กเข้าสู่สถานรองรับทุกประเภท โดยเฉพาะสถานสงเคราะห์ และมุ่งสนับสนุนการเลี้ยงดูทดแทนที่มีลักษณะถาวรหรือใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมแบบครอบครัวมากที่สุด
นอกจากนี้ 1.4 ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กในมิติต่างๆ โดยเฉพาะ “กลไกตำบลคุ้มครองเด็ก” เพื่อเชื่อมโยงภารกิจด้านเด็กและครอบครัว มุ่งสนับสนุนการจัดบริการที่เหมาะสม เพียงพอ และหลากหลาย เพื่อให้ครอบครัวสามารถดูแลเด็กได้ และลดการนำเด็กเข้าสู่การเลี้ยงดูทดแทน
(2) ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้ พม. แก้ไขกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการและการดูแลเด็กที่เติบโตในสถานสงเคราะห์ เช่น กำหนดเงื่อนไขการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสถานสงเคราะห์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพิ่มทางเลือกการจัดบริการเลี้ยงดูทดแทนของสถานสงเคราะห์ที่หลากหลายโดยเฉพาะรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กแบบครอบครัวทดแทนหรือเสมือนครอบครัว และการเลี้ยงดูเด็กแบบกลุ่มบ้าน การสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูเด็กหรือการสนับสนุนรูปแบบอื่นๆ แก่ครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงดู
นอกจากนี้ ให้ พม. ประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในประเด็นการกำหนดคำนิยามสถานรองรับเด็กให้ครอบคลุมทุกประเภท เช่น สถานสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน บ้านพักเด็กและครอบครัวประจำจังหวัด มูลนิธิ สมาคม วัด ศาสนสถาน โรงเรียนประจำ โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หอพักการกุศล ฯลฯ
โดยบูรณาการทำงานร่วมกันในการกำกับดูแลมาตรฐานการเลี้ยงดูทดแทนเด็กของประเทศให้ทั่วถึง เป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงสิทธิเด็กและประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี