วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้การรับรองว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ให้การรับรองว่า บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายในทุกแห่งหน มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันตามกฎหมาย โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ
ซึ่ง กสม. เห็นว่า ประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศเป็นนโยบาย พัฒนากฎหมาย ตลอดจนกำหนดแนวทางปฏิบัติผ่านมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงยังได้ให้คำมั่นแก้ไขปัญหาต่อที่ประชุมระดับนานาชาติ โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่และภารกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องสัญชาติและสถานะบุคคลได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐและมติคณะรัฐมนตรี
เช่น ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะบุคคลกลุ่มเป้าหมายรองรับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการสถานะและสิทธิของบุคคล หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน รวมทั้งการออกระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการจัดทำทะเบียนประวัติสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ. 2562 เป็นต้น
โดยที่ผ่านมา มีบุคคลที่ได้รับการแก้ไขสถานะทางทะเบียนจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาสถานะบุคคลในประเทศไทยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยข้อมูลสถิติของกรมการปกครอง ที่สำรวจและรวบรวมไว้เมื่อปี 2564 พบว่า มีคนไร้รัฐไร้สัญชาติ จำนวน 448,105 ราย เช่น
ชนกลุ่มน้อยดั้งเดิมที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลานานแต่ตกหล่นจากการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติ
กลุ่มคนต่างด้าวที่ไร้รัฐไร้สัญชาติที่มีภูมิลำเนาอาศัยเป็นหลักแหล่งในประเทศไทยเป็นประจำและไม่มีเอกสารราชการของประเทศใดที่แสดงว่าเป็นคนชาติหรือราษฎรของประเทศนั้นๆ กลุ่มที่ถูกจำหน่ายรายการทะเบียนราษฎร กลุ่มนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G ที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “พระภิกษุและสามเณรเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ประสบกับความไร้รัฐไร้สัญชาติที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม” ซึ่งจากการที่ กสม. ได้ประชุมรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็น และลงพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า
พระภิกษุและสามเณรที่มีปัญหาสถานะอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) พระภิกษุและสามเณรที่ยังไม่ได้รับการกำหนดสถานะทางทะเบียน และ (2) พระภิกษุและสามเณรที่มีสถานะทางทะเบียน แต่อาจปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้านการเดินทางเข้าเมือง
ส่งผลให้ประสบปัญหาการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพ ถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุม และปัญหาด้านเสรีภาพในการถือศาสนาตามความเชื่อ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2506) หากปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและไม่มีหลักฐานที่อยู่แน่ชัดย่อมไม่อาจบรรพชาหรืออุปสมบท หรือหากได้รับการบรรพชาหรืออุปสมบท พระอุปัชฌาย์ก็ไม่อาจรับรองสถานะ และไม่อาจได้รับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ แม้จะมีคุณสมบัติทางพระธรรมวินัยที่เหมาะสมก็ตาม
นอกจากนี้ ข้อมูลนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G หรือเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีการศึกษา 2565 ปรากฏว่า มีพระภิกษุและสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติที่ศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดกองพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 883 ราย ไม่รวมในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีและแผนกธรรมซึ่งจัดเก็บข้อมูลแยกส่วนกัน
รวมทั้งยังมีพระภิกษุและสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการกำหนดรหัส G และจัดเก็บข้อมูลในระบบ หรือฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และภารกิจโดยตรงในการจัดทำทะเบียนประวัติ อย่างไรก็ดี การไม่มีระบบฐานข้อมูลของพระภิกษุและสามเณรที่มีปัญหาสถานะเช่นนี้ ย่อมทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า เพราะจะต้องแก้ปัญหาเป็นรายกรณี โดยไม่ทราบกลุ่มและพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด ส่งผลให้การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของพระภิกษุและสามเณรต้องเนิ่นช้าตามไปด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2566 จึงมีมติให้กรมการปกครองร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดำเนินการสำรวจข้อมูลกลุ่มพระภิกษุและสามเณรที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน รวมทั้งข้อมูลสามเณรที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G ตามระบบของกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อจัดทำทะเบียนประวัติ คัดกรองคุณสมบัติโดยจำแนกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร แล้วพิจารณากำหนดสถานะบุคคลให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งจะนำไปสู่การให้สิทธิขั้นพื้นฐาน และปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มพระภิกษุและสามเณรให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ตลอดจนจัดเตรียมแผนรองรับกลุ่มพระภิกษุและสามเณรที่เข้ามาใหม่ในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ควรให้องค์กรภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการรวบรวมจัดเก็บข้อมูล เพื่อแก้ไขข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรที่มีไม่เพียงพอด้วย
นอกจากนี้ ให้กรมการปกครองและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกันสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎมหาเถรสมาคมตามหลักในพระธรรมวินัย แก่พระภิกษุและสามเณร รวมถึงบุคลากรของสำนักงานพระพุทธศาสนาในพื้นที่ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ตอกหน้าฝรั่งดูแคลน! ประภาส เปิดอภินิหารคำว่า แล้ว พิสูจน์ความลึกซึ้งที่เหนือกว่า Tense
(คลิป) สื่อเขมร รายงานจริงครั้งแรก! ไทย ใช้ F-16 ทิ้งบอมปอยเปตพังท่องเที่ยวกัมพูชา
ปราชญ์ สามสี สดุดี จ่าเริง วีรบุรุษเนิน 350 ผู้ปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิต
ทรัมป์ กร้าว ต้องการ กรีนแลนด์ เพื่อความมั่นคงของ สหรัฐฯ
เขมรกล่าวหาไทย ทิ้งระเบิด พ่นควันพิษ เป็น อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี