ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้การรับรองว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ให้การรับรองว่า บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายในทุกแห่งหน มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันตามกฎหมาย โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ
ซึ่ง กสม. เห็นว่า ประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศเป็นนโยบาย พัฒนากฎหมาย ตลอดจนกำหนดแนวทางปฏิบัติผ่านมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงยังได้ให้คำมั่นแก้ไขปัญหาต่อที่ประชุมระดับนานาชาติ โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่และภารกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องสัญชาติและสถานะบุคคลได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐและมติคณะรัฐมนตรี
เช่น ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะบุคคลกลุ่มเป้าหมายรองรับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการสถานะและสิทธิของบุคคล หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน รวมทั้งการออกระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการจัดทำทะเบียนประวัติสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ. 2562 เป็นต้น
โดยที่ผ่านมา มีบุคคลที่ได้รับการแก้ไขสถานะทางทะเบียนจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาสถานะบุคคลในประเทศไทยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยข้อมูลสถิติของกรมการปกครอง ที่สำรวจและรวบรวมไว้เมื่อปี 2564 พบว่า มีคนไร้รัฐไร้สัญชาติ จำนวน 448,105 ราย เช่น
ชนกลุ่มน้อยดั้งเดิมที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลานานแต่ตกหล่นจากการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติ
กลุ่มคนต่างด้าวที่ไร้รัฐไร้สัญชาติที่มีภูมิลำเนาอาศัยเป็นหลักแหล่งในประเทศไทยเป็นประจำและไม่มีเอกสารราชการของประเทศใดที่แสดงว่าเป็นคนชาติหรือราษฎรของประเทศนั้นๆ กลุ่มที่ถูกจำหน่ายรายการทะเบียนราษฎร กลุ่มนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G ที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “พระภิกษุและสามเณรเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ประสบกับความไร้รัฐไร้สัญชาติที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม” ซึ่งจากการที่ กสม. ได้ประชุมรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็น และลงพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า
พระภิกษุและสามเณรที่มีปัญหาสถานะอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) พระภิกษุและสามเณรที่ยังไม่ได้รับการกำหนดสถานะทางทะเบียน และ (2) พระภิกษุและสามเณรที่มีสถานะทางทะเบียน แต่อาจปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้านการเดินทางเข้าเมือง
ส่งผลให้ประสบปัญหาการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพ ถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทางออกนอกพื้นที่ควบคุม และปัญหาด้านเสรีภาพในการถือศาสนาตามความเชื่อ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2506) หากปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและไม่มีหลักฐานที่อยู่แน่ชัดย่อมไม่อาจบรรพชาหรืออุปสมบท หรือหากได้รับการบรรพชาหรืออุปสมบท พระอุปัชฌาย์ก็ไม่อาจรับรองสถานะ และไม่อาจได้รับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ แม้จะมีคุณสมบัติทางพระธรรมวินัยที่เหมาะสมก็ตาม
นอกจากนี้ ข้อมูลนักเรียนที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G หรือเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีการศึกษา 2565 ปรากฏว่า มีพระภิกษุและสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติที่ศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดกองพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 883 ราย ไม่รวมในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีและแผนกธรรมซึ่งจัดเก็บข้อมูลแยกส่วนกัน
รวมทั้งยังมีพระภิกษุและสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการกำหนดรหัส G และจัดเก็บข้อมูลในระบบ หรือฐานข้อมูลการทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และภารกิจโดยตรงในการจัดทำทะเบียนประวัติ อย่างไรก็ดี การไม่มีระบบฐานข้อมูลของพระภิกษุและสามเณรที่มีปัญหาสถานะเช่นนี้ ย่อมทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า เพราะจะต้องแก้ปัญหาเป็นรายกรณี โดยไม่ทราบกลุ่มและพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด ส่งผลให้การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของพระภิกษุและสามเณรต้องเนิ่นช้าตามไปด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2566 จึงมีมติให้กรมการปกครองร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดำเนินการสำรวจข้อมูลกลุ่มพระภิกษุและสามเณรที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน รวมทั้งข้อมูลสามเณรที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G ตามระบบของกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อจัดทำทะเบียนประวัติ คัดกรองคุณสมบัติโดยจำแนกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร แล้วพิจารณากำหนดสถานะบุคคลให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งจะนำไปสู่การให้สิทธิขั้นพื้นฐาน และปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มพระภิกษุและสามเณรให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ตลอดจนจัดเตรียมแผนรองรับกลุ่มพระภิกษุและสามเณรที่เข้ามาใหม่ในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ ควรให้องค์กรภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการรวบรวมจัดเก็บข้อมูล เพื่อแก้ไขข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรที่มีไม่เพียงพอด้วย
นอกจากนี้ ให้กรมการปกครองและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกันสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎมหาเถรสมาคมตามหลักในพระธรรมวินัย แก่พระภิกษุและสามเณร รวมถึงบุคลากรของสำนักงานพระพุทธศาสนาในพื้นที่ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี