“ตัวผมนี้ถูกผลกระทบจากความไม่เข้าใจในการมาอยู่ร่วมในสังคม ในชุมชน เราเจอคนที่ต่อต้านเรา คนที่ไม่เข้าใจกับเรา ก็ค่อยๆ คุย ค่อยๆ ชี้แจง อยู่มาวันหนึ่งมีเด็กน้อยคนหนึ่ง พ่อเขาไม่สบาย เป็นลมล้มพับ ก็มาเรียกผมที่บ้าน เพื่อนบ้านผมบอกว่าอย่าเข้าบ้านเขาไป อันตรายคุณรู้หรือเปล่า? ผมบอกไม่เป็นไร เด็กน้อยคนนี้บริสุทธิ์ เข้าบ้านไป พ่อเขาล้มพับ ผมก็พาไปโรงพยาบาล” Loet Chaikham ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวมุสลิมใน Santi Village
“เราอยู่มาได้พักหนึ่งแล้ว แล้วสักพักก็มีคนมุสลิมกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ ทันทีที่เราได้ข่าว เราต่อต้านเพราะเราได้ยินได้ฟังมาเยอะ แล้วมันฝังอยู่ในใจเราว่ามุสลิมใจร้าย, ลองเปิดใจรับเขาดูสิ! แล้วผลที่มันเกิดมาก็คือมันดีมากไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ไม่รุนแรง เพราะเราพิสูจน์ด้วยตัวตนจริงๆ 20 ปีที่อยู่กับเขามา สิ่งที่ประทับใจมากก็คือไม่มีลักขโมย เวลาสามีเราเจ็บป่วยเขาวิ่งมากันเกือบทั้งหมู่บ้าน มาช่วยกันอุ้มสามีเราขึ้นรถ เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ เขาช่วยเหลือ เขานับถือศาสนาตามที่ควรจะเป็น” Apinjana Sakuntanakalap ชาวพุทธใน Santi Village
เรื่องเล่าจากสารคดีสั้นที่ทาง ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) นำมาเผยแพร่ในวงเสวนา “ฮักบ่ Hate พื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยเพื่อการสื่อสารที่ไม่ใช้ความรุนแรง” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ยกประเด็น“ความหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia)” ในสังคมไทย ตัวอย่างในพื้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ สะท้อนปัญหา “การใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech)” เกิดการแบ่งเขา-แบ่งเรา นำไปสู่ความแตกแยกในสังคม และบางครั้งอาจลุกลามถึงการใช้กำลังเข้าทำร้ายกัน
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า งานของโคแฟคคือการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่กัน (โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์) ว่ามีความถูกต้องน่าเชื่อถือมาก-น้อยเพียงใด จึงต้องย้ำหลัก “เช็คก่อนแชร์” ซึ่งทำได้หลายวิธี ตั้งแต่สอบถามคนรอบข้าง หรือนำข้อมูลไปค้นหาใน Search Engine(เช่น Google) ซึ่งส่วนใหญ่จะได้คำตอบ เช่น เป็นข่าวเก่า-รูปซ้ำ หรือเป็นข้อมูลที่ไม่จริง ที่สำคัญ “เนื้อหาไหนที่ดูแรงๆ สร้างความเกลียดชัง เห็นแล้วให้ตั้งสติก่อน” ตรวจสอบอย่าเพิ่งรีบแชร์ เพราะคนที่เผยแพร่ข้อมูลนั้น
อาจมีเป้าประสงค์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
แต่สิ่งที่ยากกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรื่องราว นั่นคือ “แม้จะเป็นเรื่องที่ข้อเท็จจริงถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างไร ก็ยังมีคนที่ยืนยันจะเชื่อตามอคติที่ตนเองมี”นอกจากนั้น “Hate Speech ไม่จำเป็นต้องเป็นคำหยาบคายหรือรุนแรงเสมอไป” แม้แต่คำธรรมดาๆ ทั่วไป การพูดในบริบทหนึ่งที่ผู้สนทนารู้กันก็เข้าข่ายเป็น Hate Speech ได้ หรือแม้แต่ “มีม (Meme)” ภาพตัดต่อขำขันก็ด้วยเช่นกัน การใช้กลไกทางกฎหมายฟ้องร้องจึงเป็นเรื่องยาก
“สิ่งที่เราจะต้องทำคือกลไกทางสังคมที่จะพาคนมาเจอหน้ากัน อย่างในสารคดี สุดท้ายไปได้ข้อสรุปว่าที่คนขัดแย้งกันหรือแรงกันมากๆ เรื่องจริงไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่รู้จักกัน อันนี้เข้าสู่คอนเซ็ปต์ Thailand Talk ก็คือมูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย) เขาทำโปรเจกท์ Thailand Talk เอาคนที่เห็นต่างมาเจอกัน ก็น่าจะเป็นคำตอบของ
เรื่องนี้ ถ้าบางเรื่องมันเลยเส้นแบ่ง กฎหมายจัดการไม่ได้การเซ็นเซอร์ยังทำอะไรไม่ได้ ก็เอามาคุยกัน มันน่าจะลดทอนความรุนแรง-ความเกลียดชังลง” สุภิญญา กล่าว
ขณะที่ ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยเเละสร้างสรรค์ กล่าวว่า การใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) นำไปสู่การเกิด
ความคิดแบบหัวรุนแรง (Radicalization) ซึ่ง Hate Speech อาจเริ่มจากจุดเล็กๆ อย่างการแบ่งเขา-แบ่งเรา ก่อนกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นอย่างการลดทอนความเป็นมนุษย์หรือการโยนบาปใส่ร้าย นอกจากนั้น ในปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า “เนื้อหาการเมืองที่ผลิตโดยคนทั่วไป (ไม่ใช่โดยสำนักข่าว) ได้รับความสนใจมากที่สุด” ดังนั้น “จริยธรรมสื่อจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนัก” ไม่ใช่เฉพาะคนทำงานสื่อเท่านั้น
“เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้แล้วว่าผู้บริโภคใช่สื่อไหม? อินฟลูเอนเซอร์เป็นสื่อไหม? ทุกคนเป็นสื่อหมด แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้รู้ว่าเบื้องต้นคุณต้องทำอย่างไรคุณต้องเคารพสิทธิมนุษยชน คุณต้องไม่สร้างความเกลียดชังแบ่งเขา-แบ่งเรา กล่าวโทษอะไรต่างๆ ฉะนั้นอันนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่มันเป็นเรื่องใหญ่” รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยเเละสร้างสรรค์ กล่าว
สอดคล้องกับที่ อัยยา ตันติเสรีรัตน์ Head of Partnerships & Co-Managing Director บริษัท เทลสกอร์ จำกัด ฉายภาพการเติบโตของแวดวง “อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลทางความคิดในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งสามารถยึดเป็นอาชีพสร้างรายได้ ว่า คำว่าอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะบุคคลที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง (Macro Influencer) เท่านั้น แต่หมายถึงทุกคนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพราะเรื่องราวที่เราสื่อสารออกไปอาจส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างได้
“อินฟลูเอนเซอร์คือสื่อบุคคล เขาเป็นกระบอกเสียงดังนั้นน้องๆ อินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ อาจจะเป็นผู้ที่ถูกกระทำมาก่อน แต่เราสามารถสร้างเนื้อหาที่ดีสื่อสารออกไปต่อได้ เพราะเราถือว่าคือสื่อแล้ว ฉะนั้นการที่เราสื่อสารอะไรออกไป เราก็จะได้รับแต่เรื่องดีๆ ซึ่งเรื่องดีๆเหล่านี้ มันเป็นการสร้างวัฒนธรรมทางออนไลน์(Online Culture) ที่ดีกลับมาเหมือนกัน เราอยากอยู่สังคมที่ดีในออฟไลน์ (Offline-โลกจริง) ออนไลน์ก็เหมือนกัน” อัยยา กล่าว
อีกด้านหนึ่ง สันติ ศิริธีราเจษฎ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย สะท้อนมุมมองคนทำงานประเด็นเด็กและเยาวชนในประเด็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ทั้งโดยรู้และไม่รู้ตัวเช่น พ่อแม่อาจใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่น-ด้อยค่า (Bully) ว่าไม่ว่าจะเป็นการ Bully หรือใช้ความรุนแรง ล้วนมีผลกระทบต่อเด็ก ซึ่งสถานการณ์ของแต่ละครอบครัวอาจแตกต่างกันไป แต่หากเป็นชนชั้นกลางที่สามารถเข้าถึงสื่อได้ ปัจจุบันก็มีสื่อมากมายที่แนะนำการเลี้ยงลูกเชิงบวกแทนการใช้ความรุนแรง (เช่น การตี) ที่เห็นผลทันตาแต่ส่งผลกระทบระยะยาว
“เรื่อง Bully ผมคิดว่ามันเทาๆ นิด เพราะบางทีก็แหย่กันในครอบครัว อาจจะไม่ตั้งใจ ผมอาจยกตัวอย่างครอบครัวผมเอง บางทีเราแหย่กันในครอบครัว ลูกสาวบอกหนูไม่โอเค เราก็จะหยุดแล้วขอโทษกัน ผมว่าเราก็ต้องสร้างวัฒนธรรมการอยู่กันเองในครอบครัวลักษณะแบบนี้เหมือนกัน เพราะว่าอย่างเมื่อก่อนพ่อแม่ถูกทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้เราฟังน้องๆ มากขึ้น” สันติ กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี