เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสไปร่วมฟังวงเสวนาเวทีสาธารณะ หัวข้อ “Why Nations Fail – บทเรียนที่ประเทศไทยต้องไม่ล้มเหลว” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) โดยในช่วงต้นของการเสวนา พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้ขอทำความเข้าใจนิยามของคำว่า “Nation Fail” ในหนังสื่อดังกล่าวก่อนว่า “Fail ในที่นี้อาจใช้คำว่าไม่ประสบความสำเร็จมากกว่าล้มเหลว” และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับคำว่ารัฐล้มเหลว
แม้กระทั่งตัวอย่างที่ไม่ดีที่ยกมาในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้แปลว่ารัฐล้มเหลว “ดังนั้นขอย้ำว่าอย่าใช้คำว่ารัฐล้มเหลว หรือ Fail State” โดยในที่นี้จะหมายถึงประเทศล้มเหลวในการพัฒนาศักยภาพของประเทศอย่างทั่วถึงและยั่งยืน พูดง่ายๆ คือการที่อยากให้ประเทศประสบความสำเร็จ มีการพัฒนาศักยภาพของประเทศอย่างทั่วถึงและยั่งยืน แต่หากไปไม่ถึงก็คือล้มเหลวตรงนั้น ส่วนคำถามว่า “จะต้องแก้ไขอะไรและแก้อย่างไร” ที่หนังสือบอกจะมี 6 เรื่อง
คือ 1.นิติรัฐ อย่างวันนี้เริ่มรู้สึกกันหรือไม่ว่าคุณภาพของกระบวนการยุติธรรมมีปัญหา 2.ประชาธิปไตย จะทำอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วม สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ 3.เศรษฐกิจไม่ผูกขาด ไม่ถูกกินรวบ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง 4.การศึกษา อย่างที่เห็นคะแนนสอบ PISA ที่ประเทศไทยแย่ลงเรื่อยๆ 5.คอร์รัปชั่น ซึ่งไม่ควรให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เอกชนที่ไม่อยากโกงแต่ก็ไม่มีทางเลือกเพราะหากไม่จ่ายก็จะเสียความสามารถในการแข่งขัน และ 6.ความเข้มแข็งของภาคประชาชน ในการเฝ้าระวังและร่วมกำหนดอนาคตของประเทศ
กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยกตัวอย่างประเทศที่ดูเหมือนน่าสิ้นหวังแล้ว แต่ด้วยผู้นำที่มุ่งมั่น นโยบายที่ดี แล้วถ้าประเทศมีของอยู่แล้ว คือมีศักยภาพอยู่ในตัว ก็สามารถฟื้นตัวได้ เช่น อาร์เจนตินา ซึ่งประธานาธิบดีคนล่าสุดจากการเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีก่อนได้เข้ามาปฏิรูปอย่างรุนแรงมาก แม้บทสรุปท้ายที่สุดจะยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ผลของการปฏิรูปก็สามารถทำให้อาร์เจนตินากลับมาอยู่ในระบบการเงินสากลของโลกได้ เป็นภาพสะท้อนของการกลับมาสู่การเป็นประเทศปกติ จากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าเชื่อถือรัฐบาลหรือประเทศแห่งนี้
หรืออีกประเทศหนึ่งคือ ไนจีเรีย ซึ่งมีทรัพยากรสำคัญอย่างน้ำมัน จริงๆ แล้วควรเป็นประเทศที่ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จ แต่ประธานาธิบดีคนล่าสุดที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วปฏิรูปอย่างรุนแรงเช่นกัน อาทิ กำจัดนโยบายประชานิยม ซึ่งสร้างความเดือดร้อนพอสมควร แต่ปัจจุบันพบว่าเศรษฐกิจกลับมาเติบโต คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในปี 2568 นี้น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ไม่นับปีที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัญหาคอร์รัปชั่น หากปล่อยให้ข้าม Tipping Point หรือจุดที่ยากจะหวนกลับ จนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม การแก้ไขก็จะทำได้ยากมาก อนึ่ง สิ่งที่หลายคนน่าจะคิดคล้ายๆ กัน คือ ณ ขณะนี้เราอาจยังไม่เรียกว่าเป็นรัฐล้มเหลว แต่ก็เหมือนเป็น “รัฐกบต้ม” อย่างที่มีการพูดถึง “ทฤษฎีกบต้ม” หมายถึงกบที่อยู่ในหม้อน้ำร้อน การค่อยๆ ปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นกบจะไม่รู้สึกตัวว่าร้อน แต่เมื่อถึงจุดที่ทนต่อไปไม่ไหวกบก็ไม่สามารถกระโดดหนีออกจากหม้อได้เพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหมดแล้ว
ในคำแนะนำตามบริบทของสังคมไทย อดีตผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวไว้ 3 ข้อ คือ 1.การสร้างการตระหนักรู้ต้องนำไปสู่ความต้องการมีส่วนร่วมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม “ทุกวันนี้ในสังคมในความขัดแย้งอยู่มาก ทำอย่างไรที่จะไม่เป็นคนเติมเชื้อไฟเข้าไป” การที่จะมีบรรยากาศการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยจะมีบทบาทได้มาก ทำอย่างไรจึงจะมองเรื่องการหาทางออกให้กับประเทศอย่างสร้างสรรค์
ทั้งนี้ “การรับฟังความเห็นต่างเป็นปัจจัยสำคัญ” เพราะแม้ตระหนักรู้แต่หากมีอคติก็ไม่อาจมีพื้นที่สร้างสรรค์ได้ เลิกขับเคลื่อนด้วยการด่า แต่ทำอย่างไรจะหาความคิดสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่รับฟังความเห็นต่าง 2.ปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้น และโดยธรรมชาติแล้วผู้สูงอายุไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ประเทศต้องการปฏิรูปในด้านต่างๆ “ทำอย่างไรจะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันของคนระหว่างรุ่นให้ได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันหลายองค์กรมีปัญหาที่คนต่างรุ่นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้” และแต่ละคนก็จะตั้งการ์ดโดยมองตนเองเป็นตัวตั้ง
และ 3.การแสดงพลังสามารถทำได้ในฐานะผู้บริโภค มีตัวอย่างจากประเทศ สิงคโปร์ มีการณรงค์ “We Breath what We Buy” หรือเราหายใจในสิ่งที่เราซื้อ สืบเนื่องจากในอดีตสิงคโปร์เผชิญปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ข้ามแดนจากการเผาในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันกับเยื่อกระดาษ ซึ่งภาคส่วนต่างๆ ในสิงคโปร์ สามารถตรวจสอบจนรู้แม้กระทั่งว่าบริษัทใดบ้างมีส่วนร่วมในการเผาแล้วผลิตสินค้าส่งมาขายในสิงคโปร์ หรืออาศัยแหล่งเงินทุนจากสิงคโปร์ ทำให้ร้านค้าต้องนำสินค้าจากบริษัทที่มีปัญหาออกไปจากชั้นวาง สถาบันการเงินต้องร่างกติกาใหม่ในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมที่ก่อฝุ่น จนระยะหลังๆ ปัญหาฝุ่นพิษในสิงคโปร์ก็หายไป
แต่อีกด้านหนึ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดประเด็นชวนคิดว่าด้วยความท้าทาย 2 เรื่อง คือ 1.การสื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างรุ่น เพราะเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เปิดใจเข้าหากันก็ไม่มีการรับฟังกัน กับ 2.การอยู่ในโลกที่ผู้คนแบ่งกลุ่มแบ่งพวกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลของอิทธิพลจากอัลกอริทึมในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ บวกกับธรรมชาติของคนเราที่รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อพูดคุยกับคนที่คิดเห็นเหมือนกัน ดังนั้นทำอย่างไรจะแต่คนละจะสามารถบังคับตนเองให้พูดคุยกับคนที่เห็นต่าง แลกเปลี่ยนกันให้มากขึ้น อย่างน้อยต้องรู้ว่าที่อีกฝ่ายเขาคิดอย่างไร
อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เล่าถึงการไปบรรยายในงานต่างๆ ที่จะย้ำเสมอถึงความสำคัญของทักษะ “การทำความเข้าใจวิธีคิดของผู้ที่เห็นต่างไปจากตัวเรา” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเข้าใจแล้วจะต้องเห็นด้วย อย่างมีครั้งหนึ่งไปบรรยายแล้วมีนักศึกษาถามว่าทำไม โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีความคิดอยากยุบกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้อธิบายไปตามมุมมองที่ทรัมป์คิด กลับถูกมองว่าอธิบายแบบนี้คือเห็นด้วยกับทรัมป์ใช่หรือไม่ “จงอย่ามั่นใจว่าตนเองคิดถูกจนกว่าจะอธิบายได้ว่าอีกฝ่ายคิดผิดอย่างไร” หากช่วยกันฝึกทักษะนี้ก็จะหาความพอดีได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี