1. พระจำนงค์ ธัมมจารี หรืออดีตพระพรหมเมธี อายุ 84 ปี หนีคดีลี้หายไปจากเมืองไทยหลายปี
ล่าสุด เดินทางกลับมาจากเยอรมนี เข้ามอบตัวต่อสู้คดีเงินทอนวัด
หนีไปราวๆ 7 ปี
หลังเข้ามอบตัว ก็ถูกควบคุมตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ 2 ข้อหา
คือ ร่วมกันฟอกเงิน และสนับสนุนเจ้าพนักงานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยวางเงินสดจำนวน 4 แสนบาท เป็นหลักทรัพย์ประกันตัว โดยพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่าอดีตพระพรหมเมธี เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีพฤติกรรมยุ่งเหยิงพยานหลักฐานจึงอนุมัติให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
2. มีรายงานว่า พระจำนงค์มีหนังสือขอความเป็นธรรมตั้งแต่ช่วงสิงหาคม 2567
รายงานระบุว่า ตัดสินใจเดินทาง หลังจากคดีเงินทอนวัดของวัดสามพระยาและวัดสระเกศเสร็จสิ้นลง
โดยพระชั้นผู้ใหญ่ที่เคยถูกดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัดก่อนหน้านี้ ได้แก่ พระพรหมดิลก และพระพรหมสิทธิ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ คืนสมณศักดิ์ หลังคดีถึงที่สุด ไม่ได้มีความผิดร้ายแรง โทษจำคุก รอลงอาญา
ทีมกฎหมายของพระจำนงค์ ได้ศึกษาแนวทางสู้คดีจากทั้งวัดสามพระยาและวัดสระเกศ เพราะเป็นข้อกล่าวหาเดียวกัน มองไปถึงขั้นว่าจะต่อสู้เพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้องเลยด้วยซ้ำ
3. นับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง ที่พระจำนงค์เดินทางกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ปิดตำนานพระหายาก หรือพระหนีคดีไปต่างประเทศอีกรุ่นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สังคมพึงเข้าใจข้อมูลความจริงว่า กรณีคดีพระชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดีในกลุ่มทุจริตเงินทอนวัดไปก่อนหน้านี้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความผิดเลย !
ความจริง คือ มีความผิด แต่ไม่ร้ายแรง
ยกตัวอย่าง
กรณีพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หมายเลขดำ อท.251/2561
ข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ, ทำ, จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157 ประกอบมาตรา 83, 86, 91
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. จำคุก 2 ปี 12 เดือน, จำเลยที่ 2-4 จำคุกคนละ 3 ปี 18 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5 (พระพรหมสิทธิ) ให้จำคุก 36 เดือน ปรับ 27,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) ไว้มีกำหนด 2 ปี
ส่วนข้อหาความผิดฐานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต ฯลฯ ศาลยกฟ้อง
ต่อมา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2-4 มีกำหนดคนละ 4 ปี 24 เดือน
ส่วนพระพรหมสิทธิ จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ตามฟ้องข้อ 2.3 อีกกระทงหนึ่งจำคุกมีกำหนด 1 ปี 4 เดือน และปรับ 12,000 บาท โดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ จึงจำคุกจำเลยที่ 5 เป็น 12 เดือน ปรับ 9,000 บาท เมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 5 (พระพรหมสิทธิ) ทั้งสิ้น 48 เดือน
ปรับ 36,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา
นอกจากนี้ ยังมีคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 197/2561 หมายเลขแดงที่ อท 80/2563 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 โจทก์ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน จำเลย
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2566 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นคำร้องขอฎีกา คดีถึงที่สุด
คดีนี้ เป็นข้อหาร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินทอนวัดในโครงการศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา ปี 2559 รวม 32.5 ล้านบาท และเงินอุดหนุนโครงการอบรมคุณธรรม จริยธรรม สำหรับเด็กและเยาวชน ประชาชนและข้าราชการเพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปี 2559 รวม 37.2 ล้านบาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 (พระพรหมสิทธิ) เป็นเวลา 4 ปี 16 เดือน ปรับ 112,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 2 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 56,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 7 เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน ปรับ 28,000 บาท
อย่างไรก็ตาม การลงโทษจำเลยที่ 1-4 และที่ 7 ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและสังคม รวมทั้งไม่เคยมีประวัติต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1-4 และ 7 ดำรงตนเป็นบุคลากรที่มีประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี
หลังจากนั้น วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ มีเนื้อหาดังนี้
“...ตามที่ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) และพระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คำมา) ถูกกล่าวหาว่า กระทำการทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญา และได้มีพระบรมราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 นั้น
บัดนี้ ศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการทุจริตเบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน โดยพฤติการณ์ถือได้ว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง และมิได้มีการเบียดบังทรัพย์เป็นของตน ประกอบกับไม่มีการกล่าวคำลาสิกขาและสละสมณเพศ ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่ายังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระธงชัย สุขญาโณ และพระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดฯสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์ ดังนี้
1. ให้ พระธงชัย สุขญาโณ ดำรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมสิทธิ กิตติธรรมประยุต วิสุทธิศีลาจาร สุวิธานวรกิจจานุกิจ วิสิฐวิเทศศาสนวราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร
2. ให้ พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีคุณาภรณ์
โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน...”
4. เท่ากับว่า ตอนนี้ ยังเหลือพระหายากอยู่รุ่นเดียว
คือ พระธัมมชโย
ยังหลบหนีคดีสมคบฟอกเงินรับของโจร หนีหมายจับศาล หายตัวไปจนถึงปัจจุบัน
รูปการคดีนั้น ต่างจากคดีทุจริตเงินทอนวัด
เพราะกรณีพระธัมมชโย เกี่ยวพันกับเงินสหกรณ์คลองจั่นที่ถูกโกงไป
ไม่เหมือนคดีทุจริตเงินวัด
ไม่รู้พระธัมมชโยจะกลับมาต่อสู้คดี พิสูจน์ความสุจริตในศาล
ตามระบบยุติธรรมบ้านเมืองเมื่อใด
หรือจะรอจนคดีขาดอายุความ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี