อุ๊งอิ๊งค์ออกไป ทักษิณเข้าคุก... เป็นจริงแล้ว
เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่คุมตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เข้าคุก
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่ง ในคดีบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร ไม่เป็นไปตามคำพิพากษา
โดยศาลฯ ได้มีคำสั่งให้นายทักษิณกลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี
รายงานข่าวว่า องค์คณะมีมติเป็นเอกฉันท์
ปรากฏว่า หลังจากนั้น ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มพยายามปั่นกระแสดราม่า หวังสร้างคะแนนสงสารให้ทักษิณ ชินวัตร (ทั้งๆ ที่ ไม่ยอมติดคุกจริงๆ ตั้งแต่ต้น)
1. ความจริงชั้น 14 ปรากฏชัดเจนเป็นที่ยุติแล้ว
ในคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง คําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บค๑/๒๕๖๘ กรณีศาลมีคําสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษพันตํารวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร จําเลย เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือไม่
ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ และศาลฯ ได้ชี้ประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง ระบุว่า
“...คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจําเลยเป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่
ในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ หลังจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจําเลยไว้ตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นําตัวจําเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน ๗ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจําเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจําเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม ๑๐ โรค
อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง ๓ โรค ที่แพทย์ประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เห็นว่าจําเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบีเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ
จึงมีความเห็นว่า จําเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจําซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน
สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก แพทยสภา
แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ เวลา ๒๒ นาฬิกา จําเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจําเลยได้ ๑๗๘/๙๘ มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น ๘๖ ครั้ง/นาที หายใจ ๒๔ ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว ๙๒ เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย ๓๖.๘ องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทําบันทึกข้อความขอส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา หลังจากนั้น เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปโรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจําเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจําอยู่ในคืนดังกล่าวและทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง ๒๐๐ เมตร
ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสําคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําที่จะต้องปฏิบัติเป็นลําดับขั้นตอน ดังนี้
กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจ จากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจําโดยเร็วตามมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ ๒ วรรคหนึ่ง หากแพทย์ เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจําแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจําซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจําพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจํา จึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําได้
การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. ๒๕๖๓
นอกจากนี้ การส่งตัวจําเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจํา แบบฉุกเฉิน เนื่องจากจําเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจําชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจําเลยไปถึงโรงพยาบาลตํารวจได้พาจําเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ ๑๔ ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ ๘๘ พรรษา (มมร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตํารวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กําหนดแนวทางการตรวจรักษาใน กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ ๕.๓ ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกําหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ ๖.๒ ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตํารวจจัดไว้สําหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ ๘)จะพิจารณา อนุญาตเป็นอย่างอื่น
ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์ ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.๒ แผ่นที่ ๑๔ และที่ ๑๕ พบว่าในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่ โรงพยาบาลตํารวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ หรือหลังจาก ๒๔ ชั่วโมงไปแล้ว
และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่าที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจําเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจําเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จําต้องส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจํา
เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจําเลยไปรักษา
นอกจากนี้ ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจําเลยตามที่ระบุใน เวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้
ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พันตํารวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจําเลยตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้
จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจําเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จําเลยอ้าง อาการของจําเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจําเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
สําหรับการรักษาจําเลย ที่โรงพยาบาลตํารวจตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่จําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นั้น แพทย์โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๖ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจําต่อไปเกินกว่า ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะ กระดูกคอเสื่อม ตามลําดับ
ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์ เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งฉีกขาดเพราะจําเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจ
และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจําเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจําเลยอยู่โรงพยาบาลตํารวจ แต่จําเลยปฏิเสธการผ่าตัด
ทั้งได้ความว่า ในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจําเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ
ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําคุกจําเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จําเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรคประจําตัวซึ่งเป็นโรค เรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจําเลยเอง
นอกจากนั้น ยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจขยายระยะเวลาออกไป
จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว
และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลยได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจําเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ...”
2. ความจริงชัดแจ้งแดงแจ๋ ใครจะแหล๋อะไรอีก ก็ระวัง...
ระวังอะไร?
ระวังว่า ทักษิณจะถูกแจ้งข้อหาฐาน “สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 157”
ข้อหานี้ ป.ป.ช. แจ้งเพิ่มเติมได้เลย ในคดีที่แจ้งดำเนินการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว
พิจารณาคำสั่งศาลฎีกาฯ เนื้อหาระบุว่า ทักษิณไม่ใช่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ คนที่ต้องลุ้นขี้เยี่ยวราด...
หนึ่ง กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (ป.ป.ช.กำลังไต่สวนอยู่)
ขณะนี้ ดูเหมือนขาข้างหนึ่ง เสมือนเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว
สอง ตัวทักษิณเอง รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว จะโดนคดีเพิ่มด้วยหรือไม่
ซึ่งไม่ใช่การดำเนินคดีซ้ำ เพราะคำสั่งศาลฎีกานี้ ไม่ใช่การดำเนินคดีเอาผิดทักษิณตามพฤติการณ์เรื่องชั้น 14 แต่เป็นการตรวจสอบว่าติดคุกตามคำพิพากษาเดิมหรือไม่ (คดีหวยบนดินเอ็กซิมแบงก์ หุ้นชินฯ)
แต่กรณีหากสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบในกรณีชั้น 14 เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์นั้น ยังไม่มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีแก่ทักษิณแต่อย่างใด?
ป.ป.ช..ว่าไง หรือจะละเว้นเสียเอง?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี