เลสเตอร์ ซิตี้ จะบดกับ แมนฯยูไนเต็ด แบบเผ็ดร้อนเพื่อชิงตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ลีก

นัดสุดท้ายของฤดูกาล “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2019-20” เดินทางมาถึงแล้วในวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ เป็นนัดที่ 38 ของฤดูกาลจะทำการดวลแข้งพร้อมกันทั้ง 10 คู่ ในเวลา 22.00 น. โดยยังมีให้แฟนบอลได้ลุ้นกันทั้งโควตาไปฟุตบอลยุโรปทั้งถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรป้าลีก และการหนีตาย ซึ่งปรีวิวการแข่งขันทั้ง 10 คู่มีดังต่อไปนี้

เลสเตอร์ ซิตี้-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : การลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ลีกทีมอันดับ 5 “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ 62 คะแนน ประตูบวก 28 ลูก เปิดสนามคิง เพาเวอร์ สตเดี้ยม ดวลกับ อันดับ 3 “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี 63 คะแนน ประตูได้เสีย บวก 28 ลูก

สถานการณ์บีบบังคับให้กับ เลสเตอร์ ต้องชนะให้ได้สถานเดียว แต่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือนักวิชาการจะไม่มีแบ๊กทั้งสองข้างทั้ง ริคาร์โด้ เปเรยร่า กับ เบน ชิลเวลล์ ที่บาดเจ็บ รวมถึง เจมส์ แมดดิสัน จอมทัพในแดนกลางโดยเจ็บอยู่ทั้งหมด แถม คักลาร์ โซยุนคู่ ปราการหลังตัวหลักก็มาติดโทษแบนไปอีกคน รวมไปถึง แดเนี่ยล อมาร์ตี้ย์ก็ไม่สามารถกลับมาเป็นทางเลือกเพราะไม่ฟิตพอ รวมถึง มาร์คอัลไบรตัน ก็น่าจะพลาดลงเล่นเช่นกัน

การปรับทัพในเกมนี้ เลสเตอร์ เลือกระบบ 3-4-3 ลงสนาม ด้วยการให้ เวส มอร์แกน ลงมายืนกองหลังร่วมกับ จอนนี่ อีแวนส์ และไรอัน เบนเน็ตต์ ส่วนแนวรุกนั้น เจมี่ วาร์ดี้ ยืนหน้าเป้า ขนาบด้วยฮาวี่ย์ บาร์นส์ และอาโยเซ่ เปเรซ

ทางฝั่ง “ปีศาจแดง” รอเช็คฟิตของ ลุค ชอว์ แบ๊กซ้ายตัวจริงหากไม่พร้อมจะเป็น เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ลงตัวจริงต่อไปเป็นเกมที่ 3 แต่ข่าวดีของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือเบบี้เฟซ ก็คือไม่มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่ม ยกเว้น เอ็กเซล ตวนเซเบ้, ฟิล โจนส์ และเอริค ไบญี่ ที่เจ็บอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนี้ อาร่อน วาน-บิสซาก้า ก็พร้อมจะลงเล่นเป็นแบ๊กขวา

แผนการเล่นของ โซลชา คงจะไม่พลิกแพลงไปแบบอื่นอีกแล้ว เนื่องจากการเล่น 4-2-3-1 กำลังจัดว่าลงตัวมากๆ ขึ้นอยู่กับเรื่องของสภาพความฟิตของนักเตะเป็นหลัก โดยเฉพาะ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป๊อกบา โดยแนวรุกนั้น เมสัน กรีนวู้ด กับ มาร์คัส แรชฟอร์ดและอองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล

สำหรับสถิติการเจอกันของคู่นี้ในบอลลีก เลสเตอร์ ชนะ 32 เสมอ 29 แมนยูฯ ชนะ 62 ส่วนการเจอกันในซีซั่นนี้ แมนยูฯ ชนะ 1-0 นอกจากนี้ 11 นัดหลังสุด แมนยูฯ ไม่เคยแพ้ เลสเตอร์ แม้แต่เกมเดียว

เชลซี-วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส : “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี อยู่อันดับ 4 มี 63 คะแนน ประตูบวก 13 ลูก เปิดสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ปะทะกับ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์สทีมอันดับ 6 ที่มี 59 คะแนน ประตูได้เสีย บวก 13 ยังต้องการชัยชนะเช่นกัน เพราะกำลังล่าโควตาฟุตบอลยูโรป้า ลีก

แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ กุนซือเชลซี กำลังปรับทัพมาเล่นระบบเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน ด้วยระบบ 3-4-3 ที่ตอนนี้ลงตัวที่เซซาร์ อัสปิลิกวยต้า, ควร์ต ซูม่า และอันโตนิโอ รือดิเกอร์ ส่วนแนวรุกนั้นเป็นไปได้ที่ คริสเตียน พูลิซิซ จะผ่านความฟิตพอที่จะลงตัวจริงเล่นร่วมกับ วิลเลี่ยน และแทมมี่ อบราฮัม น่าจะเบียด โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงตัวจริงเป็นกองหน้าตัวเป้า

วิลล่า, วัตฟอร์ด หรือ บอร์นมัธ จะมี 2 ทีมที่ตกชั้นไปสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ตาม นอริช ซิตี้

ฝั่งผู้มาเยือนที่เล่นระบบเดียวกัน และยึดระบบนี้มาโดยตลอด คือ 3-4-3 ซึ่ง นูโน่ กุนซือเคราดก ไม่มีปัญหาในการจัดทัพ เนื่องจากนักเตะพร้อมทุกตำแหน่ง โดยให้ คอนอร์ เคาดี้ เป็นตัวหลักในเกมรับ ขณะที่ ชูเอา มูตินโญ่ กับ รูเบน เนเวส จะประสานงานในแดนกลาง ส่วนแนวรุก อดามา ตราโอเร่ จะเดินเกมริมเส้นกับ ดีเอโก้ โชต้าส่วนหน้าเป้าคือ ราอูล ฆิเมเนซ

คู่นี้เจอกันมาในบอลลีกสถิติสูสีกันแบบสุดๆ เมื่อผลัดกันแพ้ชนะทีมละ 38 นัด และเสมอกัน 27 เกม ส่วนการเจอกันในนัดแรกของซีซั่นนี้ เชลซี บุกไปชนะมโหฬาร 5-2

คริสตัล พาเลซ-ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ : สเปอร์ส ทีมอันดับ 7 ที่มีอยู่ 58 คะแนน ประตูได้เสีย บวก 14 ลุ้นไปบอลยุโรปจะบุกไปเยือนถิ่น เซลเฮิร์สท์ พาร์ค ของ “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ ทำศึกดาร์บี้แมทช์กรุงลอนดอน

โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องชนะให้ได้ก่อนเพื่อยึดพื้นที่ไปบอลยุโรปให้ได้ ยังไม่มี ตองกี เอ็นดอมเบเล่ ในแดนกลางแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือถือว่าพร้อมทั้งหมด คาดว่าจะใส่แนวรุกแบบเต็มซุ้ม ประกอบด้วย ซน ฮึง มิน, เดเล่ อัลลี และลูคัส มูร่า โดยมี แฮร์รี่ เคน ที่ซัดไป 17 ประตูในฤดูกาลนี้ ปักหลักยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า

เจ้าถิ่นไม่มีอะไรต้องลุ้นอีกแล้ว และแพ้ติดๆ ในลีกมาถึง 7 เกมรวด แถมยังขาดนักเตะสำคัญไปบานตะไท ไม่ว่าจะเป็น 4 แนวรับอย่าง แกรี่ เคฮิลล์ กัปตันทีม, เจมส์ ทอมกินส์, พาทริค ฟาน อานโฮลท์ และมามาดู ซาโก้ แถม คริสติยง เบนเตเก้ กองหน้าติดโทษแบน และต้องรอทดสอบความฟิตของ ลูก้า มิลิโวเยวิชอีกคน โดยหวังลุ้นสกอร์จาก อังเดร อายิว กับ วินฟรีด ซาฮา ในเกมรุกที่กำลังฝืดสนิทยิงใครไม่ได้ 6 จาก 7 เกมหลังสุด

สถิติคู่นี้ สเปอร์ส เหนือกว่ามาก ด้วยการชนะในลีก 24 เสมอ 11 พาเลซ ชนะได้แค่ 6 เกม แถม สเปอร์ส ยังไม่เสียประตูถึง 7 จาก 8 เกมหลังสุดที่ดวลกับ พาเลซ อีกด้วย

เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด-แอสตัน วิลล่า : “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ที่รอดตกชั้นไปเรียบร้อย หลังจากบุกไปแบ่งแต้มจาก แมนยูฯ มาได้ในนัดที่แล้ว จะดวลกับ ทีมอันดับ 17 อย่าง “สิงห์เผ่นแห่งมิดแลนด์” แอสตัน วิลล่า มี 34 คะแนน ประตูได้เสีย ติดลบ 26 ลูก ที่ต้องการชัยชนะเพื่อรอดพ้นการตกชั้น

“ขุนค้อน” รอเช็คฟิต ยาร์ร็อด โบเว่น กับ แอร่อน เครสเวลล์ แต่จะได้ เฟลิเป้ อันแดร์ซอน กลับมาอยู่ในทีมอีกครั้งหลังจากหายเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า แต่น่าจะสำรองไปก่อนเพราะ ปาโบล ฟอร์นัลส์ กำลังเล่นได้เข้าขากับ มาร์ค โนเบิ้ล และดีแคลน ไรซ์ ส่วนหน้าเป้ายังเป็น มิคาอิล อันโตนิโอ ที่รัวไปแล้ว 10 ประตู และอยู่ในฟอร์มการเล่นที่กำลังคึกคักอย่างมาก นับตั้งแต่กลับมาจากล็อกดาวน์

ทางด้าน วิลล่า ที่ต้องชนะไว้ก่อนสถานเดียว ไม่มี เวสลี่ย์,บียอร์น อังเคลส์ และอาเหม็ด เอล โมฮามาดี้ พร้อมกับเช็คอาการของ นีล เทย์เลอร์ คาดว่า เฟรเดริก กิลแบร์ต จะได้สตาร์ทเป็นครั้งแรกในตำแหน่งฟูลแบ๊กนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยแนวรุกใส่เต็มพิกัดทั้ง แจ๊ค กรีลิช, เทรเซเกต์ และเอ็มบาวาน่า ซามัตต้า

อย่างไรก็ตาม วิลล่า มีสถิติไม่ดีในการเล่นที่ลอนดอน เพราะแพ้มาถึง 9 เกมรวด อีกทั้งการลงเตะเกมสุดท้ายฟุตบอลลีก 8 ซีซั่นหลังสุดพวกเขาไม่เคยชนะได้เลยแม้แต่เกมเดียว และแพ้ไปถึง 6 เกม นอกจากนี้ เวสต์แฮม ก็ไม่แพ้ให้กับ วิลล่า มาแล้ว 4 เกมติดต่อกัน ทั้งนี้ สถิติเจอกันในลีกถือว่าสูสี เวสต์แฮม ชนะ 35 เสมอ 32 วิลล่า ชนะ 34

อาร์เซนอล-วัตฟอร์ด : “ปืนใหญ่”อาร์เซนอล ที่หมดลุ้นทำอันดับไปบอลยุโรปแล้ว แต่ยังมีโอกาสได้สิทธิ์นั่นคือ แชมป์เอฟเอ คัพที่จะต้องในสัปดาห์หน้า จะเปิดสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เจอกับ“แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด ทีมอันดับ 18 ที่มี 34 คะแนน ประตูได้เสีย ติดลบ 27 ลูก ที่ต้องชนะอย่างเดียวและไปลุ้นให้ วิลล่าไม่ชนะเพื่อความอยู่รอด

มิเกล อาร์เตต้า กุนซือมาดเนี้ยบ ที่พาทีมชิงเอฟเอ คัพ ยังไม่มีนักเตะตัวหลักที่เจ็บเป็นแผงทั้ง แบร์นด์ เลโน่, คาลั่ม แชมเบอร์ส, ปาโบล มารี, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และชโคดราน มุสตาฟี่ ขณะที่ เมซุต โอซิล กับ รีสส์ เนลสัน รอทดสอบความฟิต

พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2019-20 เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล

แผงหลัง 3 คนนั้น คีแรน เทียร์นี่ย์ จะยืนประสานงานกับดาวิด ลุยส์ และร็อบ โฮลดิ้ง อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้เช่นเดียวกันที่ อาร์เตต้า จะจัดสำรองลงไปเพื่อเก็บความสดของนักบอลเอาไว้ในนัดชิง คาดกันว่า ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยัง น่าจะได้พักในนัดนี้

ฝั่ง วัตฟอร์ด ที่เกมเยือนแย่มากแพ้ 5 นัดรวด แต่ต้องชนะไว้ก่อนแล้วไปลุ้นผลคู่วิลล่าอีกรอบ จะไม่มี เคราร์ด เดโลเฟว, ดารีลยานมัต, ไอแซค ซัคเซสส์ และเอเตียง กาปู ที่เจ็บทั้งหมด ทำให้ เฮย์เด้น มัลลินส์ กุนซือชั่วคราวจะจัดระบบ 4-3-3 ลงสนามนาธานเนี่ยล ชาโลบาห์ กับ วิลล์ ฮิวจ์ส จะเดินเกมตรงกลาง ส่วนแนวรุก อิสไมลา ซาร์ จะเล่นริมเส้น กับ แดนนี่ เวลเบ๊ค โดยมี ทรอยดีนี่ย์ เป็นกองหน้าตัวเป้า

การพบกันของสองทีมนี้ อาร์เซนอล เหนือกว่าด้วยการชนะ 12 เสมอ 2 วัตฟอร์ด ชนะ 10 ซึ่งการพบกันนัดแรกของฤดูกาลนี้ เสมอกันที่วิคาเรจ โร้ด 2-2

เอฟเวอร์ตัน-บอร์นมัธ : เกมที่กูดิสัน พาร์ค “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว จะพบกับ “เดอะ เชอร์รี่” บอร์นมัธ ทีมรองบ๊วย ซึ่งมีอยู่ 31 คะแนน ประตูได้เสีย ติดลบ 27 ลูก รอลุ้นปาฏิหาริย์ในการรอดตกชั้น เงื่อนไขก็คือ บอร์นมัธ จะรอดก็ต่อเมื่อเก็บชัยชนะ และต้องลุ้นให้ วิลล่า กับ วัตฟอร์ด แพ้ทั้งคู่

คาร์โล อันเชล็อตติ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน ไม่มี เมสัน โฮลเกตกับ เยอร์รี่ มีน่า สองปราการหลังตัวจริง ทำให้ ยาเร็ต บรันธ์เวตยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ ไมเคิล คีน ส่วนอีก 3 คนที่เจ็บก่อนหน้านี้ก็คือ ฌอง-ฟิลิปป์ กบาแมง ที่เจ็บยาวข้ามปี ก็ต้องเจ็บอยู่ต่อไปเช่นเดียวกับ เชงค์ โตซุน และฟาเบียง เดลป์ โดยแนวรุก แอนโธนี่ย์กอร์ดอน ดาวรุ่งจะเล่นกับ กิลฟี่ย์ ซิกูร์ดส์สัน และริชาร์ลิซอน ส่วนหน้าเป้าเป็น โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน

บอร์นมัธ มีทางเดียวเท่านั้นคือชนะให้ได้ และแช่งให้อีก 2 ทีมพ่ายแพ้ รอเช็คฟิต นาธาน เอเก้ กับ อดัม สมิธ แต่ ชาร์ลีแดเนี่ยลส์, ไซม่อน ฟรานซิส และคริส เมฟาม พวกนี้เดี้ยงร้อยเปอร์เซ็นต์ คาดว่า เอ๊ดดี้ ฮาว กุนซือจะจัดระบบ 4-4-2 ลงสนามวาง โจชัว คิง กับ คัลลัม วิลสัน ยืนกองหน้าคู่ โดยให้ เดวิด บรูกส์ ที่กลับมาฟิตสมบูรณ์แล้วเป็นตัวเดินเกมกับ จูเนียร์ สตานิสลาส

สถิติการพบกันของคู่นี้ เอฟเวอร์ตัน ชนะ 4 เสมอ 2 บอร์นมัธชนะ 2 ทั้งนี้ เอฟเวอร์ตัน ยังไม่เคยแพ้ บอร์นมัธ ที่สนามกูดิสัน พาร์คมาก่อน ส่วนการเจอกันนัดแรกของปีนี้ บอร์นมัธ ชนะ 3-1

นิวคาสเซิ่ล-ลิเวอร์พูล : เกมที่ไทน์ไซด์ปิดซีซั่นแชมป์ 30 ปีที่รอคอยของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่มาเยือนถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์คของ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โดยยังมีสถิติน่าสนใจที่“หงส์แดง” ลุ้นทำสถิติชนะมากที่สุดต่อ 1 ฤดูกาล ที่ 32 เกม รวมไปถึงการได้แชมป์ด้วยคะแนนที่น่าติดตาม หากผลออกมาชนะจะได้ 99 แต้มสูงสุดของสโมสร, ถ้าหากจบที่เสมอ จะเท่ากับซีซั่นก่อนคือ 97 แต้ม และถ้าแพ้จะจบที่เลข 96 เท่ากับวันที่ได้แชมป์

เจ้าถิ่นเกมนี้เตะแบบสบายใจไม่มีอะไรให้กดดัน สตีฟ บรู๊ซ กุนซือเลือดจอร์ดี้พันธุ์แท้ จะได้สองกองกลางอย่าง ไอแซค เฮย์เด้น กับ ฌอน ลองสต๊าฟฟ์ กลับมาประจำการณ์อีกครั้ง แต่ เอมิล คราฟท์ ต้องรอทดสอบความฟิตเพราะเจ็บข้อเท้า แต่ คีแรน คลาร์ก, ฟาเบียน แชร์ และจามาล ลาสเซลล์ส ได้เป็นแค่ผู้ชมในนัดนี้เท่านั้น

“หงส์แดง” ที่ฉลองแชมป์กันอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อกลางสัปดาห์ อาจจะมีการสลับนักเตะลงสนามหลายตำแหน่งก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะ เคอร์ติส โจนส์, ดิว็อก โอริกี้ และเนโก้ วิลเลี่ยมส์ ลุ้นเสียบลงตัวจริงส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ(Football Writers’ Association Footballer) ไม่พร้อมที่จะลงเล่นเช่นเคย หากนัดนี้ชนะได้สำเร็จ จะเป็นการบุกชนะที่สนามแห่งนี้ 2 ปีติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีเลยทีเดียว

สถิติคู่นี้ ลิเวอร์พูล เหนือกว่ามากด้วยการชนะในลีก 80 นัด เสมอ 41 นิวคาสเซิ่ล ชนะ 44 และเจอกัน 4 นัดหลังสุด ลิเวอร์พูลชนะรวด อย่างไรก็ตาม “หงส์แดง” เตะนอกบ้านนัดสุดท้าย 5 ครั้งหลังสุดสถิติไม่ค่อยดี เพราะเสมอ 2 แพ้ 3 ไม่เคยชนะได้เลย

สรุปโปรแกรมการแข่งขันทุกคู่ที่จะเตะพร้อมกันในเวลา 22.00 น.มีดังนี้ อาร์เซนอล-วัตฟอร์ด, เบิร์นลี่ย์-ไบรท์ตัน, เชลซี-วูล์ฟส์, พาเลซ-สเปอร์ส, เอฟเวอร์ตัน-บอร์นมัธ, เลสเตอร์-แมนยูฯ, แมนฯซิตี้-นอริช, นิวคาสเซิ่ล-ลิเวอร์พูล, เซาแธมป์ตัน-เชฟฯยูไนเต็ด และ เวสต์แฮม-วิลล่า